การตกแต่งในสไตล์ มินิมอล นั้น ถือว่าได้รับความนิยมกันเป็นอย่างมาก ด้วยการตกแต่งที่ดูสะอาดตาและเรียบง่าย ไม่จำเป็นต้องจัดแจงสีสันให้มากมาย จึงตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของดีไซน์และความง่ายในการเลือกของตกแต่ง
สำหรับวันนี้ ในบ้าน ก็จะพาชาวเว็บไปชมรีวิว ตกแต่งห้องสตูดิโอสไตล์มินิมอล ของคุณ HappyAries เป็นห้องที่เปิดไว้สำหรับให้เช่า แต่มีความละเอียดและตั้งใจมากในขั้นตอนการตกแต่งเหมือนกับอยู่เสียเอง งานนี้ใครที่เป็นแฟนสไตล์มินิมอล ต้องไม่พลาดเลยครับ
ตกแต่งห้องสตูดิโอสไตล์มินิมอล เรียบง่ายและอบอุ่น ภายใต้เสน่ห์โทนสีขาวแสนสบาย
(โดย HappyAries)
สวัสดีค่ะ วันนี้อยากจะมารีวิวห้องที่แต่งสำหรับทำสตูดิโอให้เช่าค่ะ
เนื้อหาจะเน้นไปทางการตกแต่งห้อง จะไม่มีโฆษณาแอบแฝงแน่นอนค่ะ เพราะจะไม่บอกตำแหน่งที่ตั้ง หรือรายละเอียดใดๆ เลย แค่อยากมาแชร์ประสบการณ์มากกว่าค่ะ แต่ที่ลงว่า CR และ SR เพราะสตูดิโอนี้เป้นของตัวเอง แต่พวกสินค้าที่ซื้อเข้ามานี่ซื้อมาเอง ไม่ได้มีคนให้ เลยไม่รู้ว่ามันจะต้องใช้เป็น CR หรือ SR กันแน่ เลยลงทั้ง 2 อันเลยแล้วกันค่ะ
สำหรับท่านที่ยังไม่รู้จักธุรกิจสตูดิโอให้เช่า ว่ามันคืออะไร…
ก็คือเป็นสถานที่ที่ให้ช่างภาพเข้ามาถ่ายรูปนั่นเองค่ะ ไม่ว่าจะเป็นถ่ายรูปนางแบบเอาไปทำโปรไฟล์ หรือร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์มาถ่ายเสื้อผ้า หรือพรีเว็ดดิ้ง อะไรแนวๆ นี้ค่ะ
จุดเริ่มต้นการทำสตูดิโอ (อันนี้ใครไม่อยากอ่านให้ข้ามไปอ่านที่ด้านล่างได้เลยค่ะ)
เนื่องจากเราได้ย้ายมาอยู่บ้านใหม่แถวชานเมืองหลังแต่งงาน เราก็เลยหาเช่าสถานที่ที่ใกล้ๆ บ้าน สำหรับเป็นออฟฟิศใหม่ (เราขายของออนไลน์อยู่แล้ว ต้องใช้สถานที่สำหรับสต๊อกสินค้า แพคของ และทำงาน) ก็เลยมาได้ที่นี่ เป็นตึกแถว 5 ชั้น รวมดาดฟ้า อยู่ใกล้โรงเรียน และเราก็โชคดีที่ได้ราคามาแบบน่ารักๆ คือเท่ากับที่เดิมเลย แต่ได้ทั้งตึก ที่เดิมได้แค่ 2 ห้อง แต่อยู่ในเมือง ซึ่งเราไม่ได้สนใจทำเลว่าจะในเมืองหรือนอกเมือง เพราะเราขายออนไลน์ 100% อยู่แล้ว เน้นว่าสะดวกไปทำงานจะดีกว่า แล้วอีกอย่างที่ตรงนี้ก็ไม่ได้ขี้เหร่นัก เพราะอยู่ใกล้กับโรงเรียนมัธยมมากๆ เลยล่ะค่ะ
เราย้ายเข้ามาทำที่นี่ได้ประมาณ 1 ปี อะไรๆ ก็ลงตัวหมดแล้ว แล้วก็มานั่งนึกๆ ดูว่า ตอนนี้เราใช้สถานที่ทำงานแค่ชั้น 2 เท่านั้น เรามีพื้นที่เหลืออีก 4 ชั้น มันน่าจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง ในตอนแรกกะว่าจะเอาชั้น 1 ไว้ทำร้านอะไรซักอย่าง เช่นของกิน หรือพวกขนม แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าบุคลากรเราค่อนข้างจำกัด ถ้าช่วงที่มีออร์เดอร์ออนไลน์เยอะๆ พนง.จะไม่สามารถปลีกตัวไปไหนได้เลย เราเลยล้มโครงการไป และมานั่งคิดว่าจะทำธุรกิจอะไรดีที่มันไม่ต้องใช้คนบริหารมากมายนัก ประมาณว่าเปิดสถานที่ให้เช่า เหมือนคอนโดปล่อยเช่าอะไรอย่างนี้ เราก็เลยลองหาข้อมูล ก็มีทั้งธุรกิจให้เช่าห้องประชุม ให้เช่าห้องเล่นดนตรี ให้เช่าห้องสัมมนา แล้วก็ให้เช่าสตูดิโอ แล้วเราก็มาชั่งน้ำหนักดูว่า ตัวไหนน่าจะเหมาะกับเราที่สุด สรุปว่าก็เป็นเช่าสตูดิโอถ่ายรูปก็แล้วกัน เพราะเราชอบแต่งห้อง แต่งบ้านอยู่แล้ว และตัวอื่นๆ เรามีความรู้น้อยมาก ถ้าทำนี่อาจถึงขั้นเจ๊งได้
หมายเหตุ : ธุรกิจสตูดิโอให้เช่านี้ถือว่าเป็นอาชีพเสริมค่ะ รายได้หลักยังคงจะมาจากขายของออนไลน์อยู่ค่ะ เอาแค่ว่าได้เงินมาช่วยรายเดือนนิดหน่อยก็พอ และลงทุนไปแล้วได้กำไรมากกว่าเงินฝากก็โอเคแล้วค่ะ
ตึกเรามีชั้นว่างเหลืออยู่ถึง 4 ชั้น (ชั้น 1, ชั้น 3, ชั้น 4 และดาดฟ้า) แต่เราเลือกทำแค่ 1 ชั้นก่อน เพราะงบน้อย และอยากลองตลาดก่อนว่าจะไปทิศทางไหน เราเหมาะกับธุรกิจรึเปล่า เพราะถ้ามันไม่ดี เราจะได้เจ็บตัวน้อยๆ หน่อย
เราเลือกทำที่ชั้น 1 เพราะติดแอร์เอาไว้อยู่แล้ว (เพราะกะว่าจะทำร้านขายนู่นนี่นั่น) พื้นที่ของชั้น 1 โดยประมาณคือ 4 x 8 เมตร (อันนี้วัดเฉพาะส่วนที่เป็นสตูดิโอนะคะ) ไอเดียของเราคือจะแบ่งเป็น 2 ห้อง ห้องหนึ่งจะโทนสว่าง และอีกห้องจะโทนมืดๆ เราก็ไม่รู้ว่าเราคิดถูกมั้ยสำหรับ 2 คอนเซ็ปนี้ แต่มันก็ทำไปแล้วล่ะ -..-
เกริ่นได้ยาวจริงๆ ต้องขอโทษด้วยนะคะ พิมพ์สั้นๆ ไม่ค่อยเป็น >_< เริ่มแล้วจริงๆ ค่ะ
วันนี้จะรีวิวห้องโทนสว่างก่อนนะคะ เพราะอีกห้องยังไม่เสร็จ
เราตัดสินใจว่าจะทำเป็นห้องนอนแนวญี่ปุ่นๆ หน่อย เพราะชอบแนวนี้ แล้วเห็นว่าช่วงนี้เค้าก็นิยมถ่ายกัน แล้วลองปรึกษาเพื่อนที่เป็นช่างภาพออกทริป เค้าก็บอกว่าทำแนวนี้ก็น่ารักดี เราก็เลยไม่ลังเลเลยค่ะ อันนี้ก็เลยกลายเป็นที่มาของกระทู้ว่า ห้องนอนไม่ได้นอน ค่ะ
รูป layout ของห้องเป็นอย่างนี้ค่ะ จะได้มองภาพออกกัน
ห้องจริงเป็นอย่างนี้ค่ะ
เริ่มจากปูพื้นก่อนนะคะ
เราใช้เป็นกระเบื้องยางมีกาวในตัว ซื้อจากโฮมโปร ช่วงไปซื้อลดราคาพอดี เหลือ ตรม.ละ 259-269 บาท จำไม่ได้ค่ะ
อุปกรณ์
– กระเบื้องยาง
– คัตเตอร์
– ไม้บรรทัด (ควรจะเป็น ฟุตเหล็ก)
วิธีติดก็ไม่ยากค่ะ
ถ้าเทียบกับส่วนอื่นๆ ในห้องนี้แล้วถือว่าง่ายที่สุดเลยค่ะ ก่อนอื่นนำแผ่นพื้นมาวางเป็นไกด์ไลน์ก่อน
พอเข้าที่แล้วก็แกะแล้วก็แปะเข้าไปเลย
อ้อ ก่อนหน้าจะแปะต้องทำความสะอาดพื้นก่อนนะคะ
ส่วนตรงขอบๆ ห้อง อันนี้เราต้องตัดกระเบื้องยางให้พอดีค่ะ
วิธีตัดก็คือวัดพื้นที่ก่อนว่ายาวเท่าไหร่ แล้วก็เอาคัตเตอร์มากรีดที่กระเบื้องยาง ไม่ต้องกรีดทะลุนะคะ กรีดพอเป็นรอย จากนั้นใช้มือหักก็ออกแล้วค่ะ (เราลืมถ่ายรูปมาทั้งตอนที่เสร็จแล้ว แล้วก็ตอนที่กรีดแผ่นพื้น ต้องขอโทษด้วยค่ะ)
โดยรวมก็จะได้แบบนี้ค่ะ
อันนี้ทำไม่ยากจริงๆ ค่ะ แต่อาจจะใช้เวลานานนิดนึง แล้วแต่ขนาดของห้องค่ะ
ต่อมาก็ไปทำกำแพงต่อ จริงๆ
ควรทำกำแพงก่อนนะคะ เพราะเวลาที่อะไรหล่นลงมา พื้นจะได้ไม่เสีย ในกรณี้นี้เราทำปูนหยด ปูนหล่นไปเยอะมากเลยค่ะ ถึงแม้ว่าจะเอาหนังสือพิมพ์รองแล้ว แต่ก็ยังแอบเลอะมาที่พื้นอยู่ดีค่ะ ยังไงก็ยังยืนยันว่าควรจะทำกำแพงก่อนค่ะ
เราตั้งใจทำให้ฝั่งนึงเป็นอิฐสีขาว และอีกฝั่งเป็นผนังขาวธรรมดา ฝั่งผนังขาวคงไม่ได้เอามารีวิวเพราะแค่ทาสี เราจะพูดถึงการแปะอิฐเท่านั้นนะคะ
อุปกรณ์ที่ต้องใช้คือ
– อิฐแบบแผ่นๆ
– ปูนกาว
– เกรียง หรือ ไม้อะไรก็ได้สำหรับผสมปูน
– ไม้กั้นระยะห่าวงของช่อง (เดี๋ยวมีรูปให้ดูค่ะ)
– ไม้บรรทัดที่มีระดับน้ำ (เค้าเรียกอะไรก็ไม่รู้อ่ะ)
– ถุงกับข้าวพลาสติก
– หนังยาง
เราซื้ออิฐมากล่องละ 520 บาท มีประมาณ 80-100 ก้อนมั้ง จำไม่ได้แล้วค่ะ คำนวนจากพื้นที่แล้ว (3.6 x 2.88 ม.) เราต้องใช้ทั้งหมด 11 กล่อง อันนี้คำนวนจากการปูอิฐแบบเว้น 1 ซม. นะคะ ถ้าวางอิฐชิดกันก็ต้องใช้มากกว่านี้ (ไม่มีรูปกล่องอิฐมาโชว์อ่ะค่ะ เพราะไม่ได้ตั้งใจจะมารีวิวตั้งแต่แรก แต่พอทำเสร็จแล้วมันภูมิใจมากกก เหนื่อยมาก จนอยากจะมาบอกต่อ เพราะตอนเราหาข้อมูลการทำเอง มันก็ไม่ค่อยจะมี เลยเอามาแบ่งปันกันค่ะ)
ร้านที่ขายอิฐแนะนำว่าให้ใช้ปูนกาว เราไปซื้อที่โฮมโปร เค้าก็แนะนำให้ใช้อันนี้ค่ะ
จากนั้นก็เอาปูนมาผสมกับน้ำ
อัตราส่วนเราไม่ทราบ เพราะไม่ได้เป๊ะขนาดนั้น กะๆ เอาจากความข้นตามต้องการ แต่อย่าให้ข้นเกินไป เพราะเดี๋ยวแห้งแล้วปูนจะแตกค่ะ หลังจากนั้นก็เอาปูนมาทาข้างหลังอิฐทีละก้อน แล้วก็นำไปแปะกับกำแพง (ปูนในรูปจะเหลวไปนิดนึง หลังจากถ่ายรูปนี้แล้วเราไปเพิ่มปูนอีกนิดหน่อยค่ะ)
หมายเหตุ : เราไม่ใช่ช่าง และไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อนเลย หากมีอะไรผิดพลาดประการใด สามารถแนะนำได้เลยค่ะ แต่อย่าดุน้า >_<
พอแปะก้อนแรกไปแล้วก็เอาไม้ที่เตรียมไว้มากั้นเพื่อให้ระยะห่างแต่ละช่องเท่ากัน
ไม้นี้เราซื้อที่ร้านเครื่องเขียนแถวนั้น ไม่ทราบเหมือนกันว่าเรียกว่าอะไร มันเป็นแท่งยาวๆ แท่งละ 65 บาท
รูปไม้กั้น
ตอนแรกจะมาเป็นแท่งยาวๆ เราเอามาตัดค่ะ ใช้กรรไกรตัดก็ออกแล้ว
แล้วก็ทำต่อไปเรื่อยๆ
จนได้มาเป็นแบบนี้
ระหว่างทำก็ให้ใช้ไม้บรรทัดวัดไปตลอดเลย
เพราะว่ามันอาจจะเอียงขึ้น เอียงลงได้ เพราะอิฐมันมาไม่เท่ากันค่ะ
เสร็จแล้วจะได้แบบนี้
ส่วนตรงขอบๆ มุมๆ มันจะวางอิฐไปทั้งก้อนไม่ได้ อันนี้เราต้องตัดอิฐค่ะ ส่วนนี้เราทำเองไม่ได้ ก็เลยให้แฟนเราทำ เค้าใช้ลูกหมูหรือเครื่องเจียรตัดค่ะ (พอดีไม่ได้ถ่ายรูปมาแต่คงเข้าใจกันนะคะ)
ทีนี้มันจะเหลือช่องๆ ระหว่างอิฐอยู่ ตรงนี้เราก็จะเอาปูนใส่เข้าไปตามร่องค่ะ
เราก็ไม่รู้ว่าปกติช่างเค้าทำกันยังไง แต่พอดีเราเพิ่งเรียนทำคุ๊กกี้มา เราเลยเอาถุงกับข้าวมาใส่ปูนแล้วมัดด้วยหนังยางให้เป็นแบบในรูปเหมือนตอนที่บีบหน้าคุ๊กกี้ค่ะ แล้วก็ตัดปากถุง บีบปูนเข้าตามร่อง แล้วเอานิ้วปาดให้เรียบค่ะ ไม่มีรูปช่วงนี้เลยค่ะ เพราะว่ามือเลอะสุดๆ
คำเตือน : หากใครแพ้ง่าย ให้หาเครื่องมืออื่นๆ มาปาดแทนนะคะ เพราะปูนจะกัดมือ หรือต่อให้ไม่แพ้ปูน ตอนปาดก็ให้ระวังด้วย เพราะมือเราบอบบางกว่าอิฐ เวลาเราปาดไปนานๆ เนื้อมันจะอ่อน แล้วพอปาดไปอีกไม่กี่ที นิ้วจะเป็นแผลค่ะ เราโดนไป 2 นิ้วเลย
พอปาดปูนลงร่องเสร็จก็จะได้เป็นแบบนี้
หมายเหตุ : ไอ้ที่เห็นเป็นปูนสีขาวๆ นั่นเราใช้ปูนสีขาวค่ะ ไม่รู้เรียกว่าอะไร แต่คือมันแพงและไม่คิดว่าสีจะโดดขนาดนี้ เราเลยใช้ปูนอันเดิมแล้วเดี๋ยวทาสีทับเอาดีกว่า
จริงๆ พอถึงจุดนี้ รอให้ปูนแห้งแล้วเสร็จเลยก็ได้นะคะ
หลายๆ คนก็ใช้แบบนั้นเลย แต่เราไม่ค่อยชอบ เพราะมันดูทึมๆ และไอ้ที่เราปาดๆ ปูนเอาไว้มันก็เลอะเละเทะเต็มไปหมด เราเลยทาสีทับอีกรอบนึงเพื่อให้ทั้งกำแพงสว่างและเป็นสีเดียวกันค่ะ
ขั้นตอนการทาสีค่ะ
เสร็จแล้วจะได้แบบนี้ค่ะ
คำถาม
ทำยากมั้ย? – ไม่ยากเลยค่ะ แต่ต้องใช้ความอดทน เพราะมันเยอะมากกกก
ทำนานมั้ย? – นานมากค่ะ อาจจะเพราะเราไม่ได้ทำอย่างต่อเนื่องด้วยมั้งคะ
จ้างหรือทำเองดีกว่ากัน? – จ้างแน่นอนค่ะ คงจะสวยกว่า เร็วกว่า ไม่เหนื่อยด้วย แต่ที่เราไม่จ้างเพราะเราอยากประหยัด และเรามีแรงงานเยอะค่ะ (เรา แฟน น้องสาว แม่บ้าน) และยังมีส่วนอื่นๆ ให้ทำอีกเยอะมาก อะไรทำเองได้ก็อยากทำเองค่ะ
ผู้หญิงทำเองได้มั้ย? – ได้ค่ะ กำแพงอิฐนี้ผู้หญิงทำ 99% ค่ะ (3 คน) ผู้ชายตัดอิฐให้แค่นั้นค่ะ
ทำไมไม่ใช้วอลเปเปอร์หรืออิฐสำเร็จรูป? – วอลเปเปอร์มันไม่ได้อารมณ์ค่ะ เราชอบสัมผัสที่มันเรียลหน่อย ส่วนอิฐสำเร็จรูปที่เป็นแผ่นใหญ่ อันนั้นแพงเกินงบค่ะ
ค่าเสียหายเท่าไหร่?
- อิฐขาว 11 กล่อง 520×11 = 5,720
- ค่าส่ง = 500
- ปูนกาวจระเข้แดง 2 กระสอบ 220×2 = 440 (อันนี้ไม่แน่ใจราคา)
- ค่าสีขาว ครึ่งถัง = 170 (โดยประมาณ)
- อุปกรณ์อื่นๆ เช่น ไม้คั่น เกรียง ลูกกลิ้ง = 500
- รวม 7,330 ค่ะ
แต่ photoshop นี่คล่องมาก
ต่อให้ต้องวาดอะไรใหม่หมดก็ทำได้ แต่อันนี้เราเน้นไปที่สเกลของเฟอร์แต่ละชิ้น และภาพรวม ความสวยงามเลยไม่ต้องมากมาย เลยออกมาเป็นแบบนี้
แบบมีเส้นกริด
อันนี้เป็นรูปเต็มๆ แบบไม่มีเส้นกริดค่ะ
ขออวดหน่อย ชอบมากเลย น่ารัก ^^
รูปที่เห็นนี่ตรงตามสัดส่วนจริงทั้งหมดเลยค่ะ
เวลาเอาของมาลงจริงๆ ก็ค่อนข้างจะพอดีเลยทีเดียว เฟอร์ที่เห็นในรูปนั่นเราก็ไปดูมาในเว็บค่ะ ถ้าเป็นของอิเกียก็ง่ายเลย มีบอกหมด กว้าง ยาว สูง ส่วนถ้าเป็นของที่อื่น เราก็จะถามเค้าค่ะว่ากว้าง ยาว สูงเท่าไหร่ แล้วก็เอามาวาดใน photoshop เอา รูปของตกแต่งบางชิ้นก็มีอยู่จริงๆ เพราะซื้อเตรียมเอาไว้แล้ว หรือบางอย่างก็ดูจากในเว็บเอาค่ะ
หลังจากที่ได้แบบมาแล้วก็ถึงขั้นตอนการสั่งของ/ซื้อของค่ะ
สนุกมากเลยขั้นตอนนี้ บางอย่างสั่งจากในเน็ต หลายอย่างก็อิเกียค่ะ งบของเฟอร์นิเจอร์ไม่บานแน่นอน เพราะเราแม่นเป๊ะอยู่แล้วว่าจะซื้ออะไรบ้าง จริงๆ ทำแบบนี้ก็ดีค่ะ เสียเวลาร่างแบบหน่อย แต่ว่าคุ้มค่าค่ะ ซื้อของมาแล้วได้ใช้ทุกชิ้น และสามารถมองภาพรวม+คุมโทนของห้องได้ดี
ซื้อของมาแล้ว
อันนี้ก็นำมาประกอบ
ไม่มีอะไร ให้แฟนมาช่วยประกอบด้วย เพราะบางอย่างแรงผู้หญิงก็ไม่ไหวจริงๆ
ประกอบเสร็จแล้ว
แต่ยังไม่ได้เอาของตกแต่งมาวาง
อันนี้ตกแต่งเสร็จแล้วค่ะ
ค่อนข้างพอใจกับผลงานตัวเองค่ะ
ค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ของเฟอร์นิเจอร์อยู่ที่
- อิเกีย 19,000 กว่าๆ
- สั่งจากในเว็บประมาณ 3,500
- โซฟาจากอินเด๊กซ์ 3,490
- รวม 25,990 ค่ะ
ช่วงอวดพ่อ อวดแม่
- ราวแขวนเสื้อผ้า + ที่แขวนหมวก + แผ่นรองเตียง ให้พ่อทำให้ พ่อเป็นช่างไม้ อิอิ
- ปลอกของเบาะรองนั่ง + ผ้าปูเตียง แม่ทำให้ (จริงๆ ผ้าปูเตียงซื้อจากอิเกียด้วย แต่มันบางไป เลยให้แม่เย็บให้ด้วย)
พวกของตกแต่งต่างๆ นั้นมาจากหลายที่มากค่ะ
ซื้อเก็บมาเรื่อยๆ ตั้งแต่รู้ตัวว่าจะทำสตูดิโอค่ะ มีทั้งซื้อออนไลน์ในประเทศ ต่างประเทศ ซื้อจากเชียงใหม่ มีคนให้ เยอะแยะอ่ะค่ะ ส่วนอันที่เป็นพวกตะกร้าหวาย หรือผลิตภัณฑ์หวาย เช่น กระเป๋าหวาย กรอบรูปหวาย กล่องหวาย อะไรพวกนี้เป็นของที่บ้านค่ะ แม่ทำสินค้าเกี่ยวกับหวายค่ะ ภูมิใจมากเลย เพราะสวย แล้วหาซื้อไม่ค่อยได้ด้วยค่ะ ^___^
FYI : ถ่ายจากกล้อง Panasonic GX3 หรือ GX5 หรือ GX7 นี่ล่ะค่ะ จำรุ่นไม่ได้ กล้องก็ไม่ได้อยู่ที่ตัวด้วย
ถ่ายด้วยโหมดปกติ ชดเชยแสงนิดหน่อย ด้วยเลนส์ที่ติดมากับกล้องค่ะ แล้วมาปรับ shadow ใน photoshop ตามที่ในเน็ตบอกค่ะ
ปกติไม่ใช่คนถ่ายรูปบ่อย ถ่ายไม่เก่ง ซื้อกล้องมาถ่ายสินค้าในร้านเท่านั้น เลยจำชื่อรุ่นของกล้องไม่ได้ค่ะ ต้องขออภัยด้วยค่ะ
Website : Cub-studio.com
Facebook : facebook.com/cubstudiothailand
ที่มา : HappyAries