คงจะดีไม่น้อย หากพื้นที่รกร้างในเขตรั้วรอบๆ บ้านของเรา จะกลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่เต็มไปด้วยบรรยากาศร่มรื่นจากธรรมชาติ โดยเฉพาะคนที่อยู่อาศัยในบ้านเขตตัวเมืองที่ส่วนมากจะอยู่ติดกันหลายๆ หลัง เพราะไม่ค่อยจะได้สัมผัสสีเขียวของต้นไม้
วันนี้ ในบ้าน ก็จะพาชาวเว็บไปชมรีวิว เปลี่ยนพื้นที่รกๆ ริมสวน ให้กลายเป็น “สวนแนวตั้ง” จากคุณ เรือนขวัญ กันครับ เรียกได้ว่าเนรมิตจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว จากพื้นที่ว่างๆ ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร กลายเป็นสวนขนาดย่อม ร่มรื่นในแบบกะทัดรัด ลองมาชมกันดูครับ
Review : เปลี่ยนพื้นที่รกๆ ริมสวน ให้กลายเป็น “สวนแนวตั้ง” ร่มรื่นในแบบกะทัดรัด
เนื่องจากเราจัดสวนเสร็จไปแล้วสามมุม ต้นไม้เริ่มเยอะขึ้น พอมาถึงมุมนี้ คุณแฟนก็เลยให้แรงบันดาลใจกึ่งๆบังคับว่า ไม่ต้องปลูกอะไรเยอะนะ เพราะไม่ค่อยมีเวลารดน้ำต้นไม้ จัดพอให้ดูเขียวๆ ไม่รกสายตาแค่นั้นแหละ
อ่ะจัดไป พอให้เห็นสีเขียว ไม่รกสายตา
แบบว่าอยากจะปลูก พื้นที่แคบยังไงก็ไม่ใช่ปัญหา
พื้นที่จัดสวนจุดนี้อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นพื้นที่แคบๆหลังบ้าน เชื่อมต่อมาถึงซอกเล็กๆ ข้างบ้านติดกับแผงระแนงบังตาริมรั้ว พื้นที่หลังบ้านกว้าง 1.8 ม. ยาวขนานตามตัวบ้าน 8.60 ม. ส่วนช่องว่างข้างรั้วนี้ กว้าง 1.0 ม. และยาว 3.20 ม.
จุดประสงค์ของการจัดสวนมุมนี้ก็แบบว่าง่ายๆ ซิมเปิ้ล ๆ คือต้องการใช้พื้นที่แคบๆ ยาวๆ หลังบ้านนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แปลไทยเป็นไทย ประโยชน์สูงสุดก็คือการผสมผสานระหว่างพื้นที่ทำงานสวน เก็บของและพื้นที่ปลูกต้นไม้สวยๆไว้ด้วยกัน โจทย์ยากก็เลยต้องจ่ายเยอะค่ะ เพราะไปหนักกับเรื่องของอุปกรณ์ซะส่วนใหญ่
รูปเปรียบเทียบก่อนจัดและหลังจัด
สภาพพื้นที่เดิมก่อนถมทราย พื้นดินเดิมทรุดลงไปเยอะ (ถามจริง ไม่บอกคิดว่าบ้านร้างนะเนี่ย)
ลงมือถมทรายปรับพื้นที่
ทิ้งไว้ให้พื้นทรายอยู่ตัว (จริงๆคือไปจัดสวนหน้าบ้านก่อน) หลังจากนั้นลงมือขัดและทำความสะอาดรั้วเพื่อทาสี
ทาสีเหลืองเหมือนเดิมค่ะ ว่าจะทาสีชมพู จะได้ดูหวานแหววสมกับเป็นผู้หญิง แต่คุณแฟนบอกว่า ถ้าเธอทาสีชมพู ชั้นจะหนีออกจากบ้านไปอยู่โรงพยาบาลบ้า ว้า แย่จัง เลยต้องใช้สีเหลืองเหมือนเดิม
หลังจากนั้นขับรถไปตระเวนหาระแนงไม้ เพื่อมาตั้งพรางตาถังเก็บน้ำและปั๊มน้ำ ได้มาแว้วค่ะ สองแผงหมดไป 3,000 บาท ระแนงอันหน้ากว้าง 0.82 ม. สูง 1.80 ม. ส่วนอันหลังกว้าง 1.0 ม สูง 2.06 ม. เราตั้งอันเล็กไว้ด้านหน้า แล้ววางอันใหญ่ไว้ด้านหลัง อาศัยหลักที่ว่า ของอยู่ใกล้จะดูใหญ่กว่าอยู่ไกล พอมองไกลๆ แล้วเหมือนขนาดมันเท่ากัน ที่ตั้งให้มันเหลื่อมๆ กัน เพื่อให้เดินทำงานได้ถนัด
ก่อนไปซื้อระแนง คิดอยู่นานมากค่ะ ใจนึงอยากทำหลังคาและตีระแนงไม้ปิดหลังบ้าน แบบถาวรไปเลย แต่ถ้าปิดทึบแล้วต้องหอบเสื้อผ้าไปตากหน้าบ้าน มันจะดูมิงามเท่าไหร่ เลยตัดสินใจใช้ระแนงสำเร็จรูป ยกมาตั้งเลยง่ายๆดี
ระแนงไม้แบบนี้ ร้านส่วนใหญ่จะไม่ทาสี ขายกันทั้งไม้ดิบๆ งี้เลย ถามพ่อค้า เค้าบอกว่าลูกค้าส่วนใหญ่อยากเห็นเนื้อไม้จริงๆ ทำสีแล้วกลัวโดนย้อมแมว (อ้าวซื้อไม้แล้วแมวมาเกี่ยวไรด้วยเนี่ย) บางร้านเค้าก็รับทำสีเพิ่มให้ แต่ร้านที่เราไปซื้อเค้าไม่รับทำ ทำไงละทีนี้ จะเอาไม้เปลือยๆ มาตั้งกลางแจ้ง แล้วจะอยู่ได้กี่ฤดู
สุดท้ายช่วงวันหยุดยาว เราเลยเกนณ์แรงงานคนในบ้าน มาช่วยกันขัดและทาสี ทาไม่เป็นหรอกค่ะ เปิดอากู๋ google หาวิธีทำ งมๆ กันไป ทาเสร็จแบบตะปุ่มตะป่ำ
ทำสีระแนงไม้และจัดวางให้เข้าที่เข้าทางแล้ว เราไปหาเก้าอี้เล็กๆ มาวางอีกตัว เอาไว้นั่งพักเวลาหน้ามืด จากการก้มๆเงยๆ ชำต้นไม้
เก้าอี้ไม้เต็ง ที่นั่งเปิดเป็นที่เก็บของด้านล่างได้ ราคา 2,900 บาท ยกมาถึงบ้านแล้วถึงเห็นว่า สีมันคนละโทนกับระแนงไม้ (ตาบอดสีรึป่าวฟร่ะเนี่ยเรา)
เปิดที่นั่งขี้นมา ด้านล่างเป็นที่เก็บของ ไว้เก็บพวกอุปกรณ์จัดสวนที่เปียกน้ำได้ (เพราะเก้าอี้ตั้งอยู่กลางแจ้งค่ะ)
หลังจากนั้นก็ได้เวลาบริหารกล้ามเนื้อแขน ยกหินปูพื้นทำทางเดินกัน ตอนนี้ เราเปลี่ยนมาใช้แผ่นหินทรายแทนศิลาแลง เพื่อเปลี่ยนโทนสีของสวนบ้าง เราแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน จุดที่ติดกับเฉลียงบ้าน ต้องลากสายยางเดินไปเดินมาเพื่อรดน้ำต้นไม้ทุกวัน เลยต้องปูหินทรายให้เต็มพื้นที่ จะได้ทำงานสะดวก
หินทรายขนาด 25 x 50 ซ.ม ราคาแผ่นละ 40 บาท ใช้ไป 75 แผ่น
จะปูหินทรายให้เต็มพื้นที่ ก็กลัวจะดูทึบ ทะมึนเกินไป เลยเว้นพื้นที่ตรงกลางไว้ ไปหาแผ่นปูพื้นสำเร็จรูปมาวาง ได้แบบกลมๆ เลียนแบบขอนไม้ยังงี้มา วางห่างๆ แล้วโรยกรวดรอบๆ
แผ่นปูพื้น เส้นผ่าศูนย์กลาง 40 ซ.ม ราคาแผ่นละ 100 บาท (ราคาแรงมว๊ากกก) ใช้ไป 12 แผ่น
ปูทางเดินเรียบร้อยแล้วเดินทำงานสะดวกขึ้นเยอะเลยค่ะ เพราะทรายไม่ติดรองเท้าขึ้นไปเลอะตรงเฉลียงบ้านให้รำคาญใจ
ตอนนี้ได้เวลาจัดพื้นที่สำหรับทำงานสวน เราใช้ระแนงไม้เป็นตัวแบ่งเขต ด้านหลังระแนงไม้ซึ่งติดกับราวตากผ้าและถังเก็บน้ำ เราจัดเป็นมุมทำงานสวนและเก็บอุปกรณ์พวกโอ่งอ่างกระถางแตก แต่จะวางกองๆไว้กับพื้นก็เกะกะอีก พอดีมีไม้ระแนงหลังคาเก่าๆ ที่เรารื้อลงมาจากเฉลียงบ้านอยู่ห้าหกท่อน จะขนไปทิ้งก็เสียดาย บ่นงุ้งงิ้งกับคุณแฟนอยู่พักใหญ่ สงสัยจะรำคาญเลยต้องออกไปหาซื้อลูกหมู (ซึ่งไม่ได้มีแม่เป็นหมูแต่ประการใด เพราะจริงๆ แล้วคือเครื่องมือช่างชนิดนึง) มาช่วยเราตัดไม้ออกเป็นท่อนๆ แล้วขัดสีเก่าๆ ออก
จากนั้นประกอบเป็นชั้นวางของขาเกๆ แบบนี้ได้สองชั้น ยกมาวางหลังบ้านแล้วทยอยจัดของขึ้นไปวาง เนื่องจากไม้เก่าที่นำมาทำชั้นวางของหน้าแคบมาก (กว้างแค่ 14 ซ.ม เอง) ก็เลยวางได้แต่ของเล็กๆ
บริเวณนี้อยู่หลังบ้าน ไม่ค่อยโดนแดด เราก็เลยใช้เป็นที่ทำงานสวน นั่งผสมดินปลูกต้นไม้ หยอดเม็ดผักใส่กระถาง อนุบาลต้นกล้า จิปาถะ ไม่ต้องจัดอะไรมาก เพราะมันเละตลอดเวลา ริมรั้วก็เป็นที่วางพวกกระถางเพาะชำกล้าไม้ กล้าผัก ที่เห็นถังดำๆมีฝาปิดนั่นคือถังหมักปุ๋ยจากเศษใบไม้ค่ะ
เป็นไงคะ สำนักงานแบบโอเพ่นแอร์ของอิชั้น
พื้นที่ทำงานเสร็จไปอย่างนึงและ ตอนนี้ได้เวลาสำแดงฝีมือกับสวนแนวตั้งงงง…กันแล้วค่ะ เราแบ่งพื้นที่จัดสวนออกเป็นสามส่วนแล้วค่อยๆ ทยอยทำไปนะคะ เริ่มจากจุดแรกคือสวนแนวตั้งจากระแนงไม้ จุดที่สองคือตอไม้และจุดที่สามคือกำแพงอิฐมอญ
สวนแนวตั้งแบบที่ 1 จากระแนงไม้สำเร็จรูป
ระแนงสำเร็จรูปที่ซื้อมา ประกอบจากไม้ซี่เล็กๆ ไม่ได้แข็งแรงมั่นคงพอจะปลูกอะไรหนักๆเยอะๆ เราเลยเน้นใช้ไม้รากอากาศ ไม่ต้องใช้ดินปลูก ในบ้านมีเคราฤาษีอยู่สองกระจุกเล็กๆ (ควรจะเรียกพวงหรือกระจุกดีคะเนี่ย) เราใช้กรรไกรเล็มออกมาทีละเส้น แล้วยกไปแขวนบนระแนงที่ขึงลวดรอไว้ สับปะรดสีในบ้านแตกหน่อออกมา ตัดมาผูกไว้ตรงมุม ยังดูโล่งอีก ไปหาตุ๊กตาดินเผารูปเด็กปีนป่ายมาวางแปะๆ ไว้
เออ..มันดูไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะแต่งยังไงดี เลยปล่อยไว้ก่อน
ผ่านไปสองอาทิตย์ สังเกตุเห็นเคราฤาษีร่วงมากองอยู่กับพื้น คิดว่าลมพัดตกลงมา แต่เอ๊ะ หลังบ้านก็ไม่ค่อยมีลมนะ ร่วงได้ไงหว่า
มาได้คำตอบตอนเช้าวันหยุดวันนึงค่ะ ชงกาแฟมานั่งจิบในสวน ชมนกชมไม้ไปเรื่อยเปื่อย เหลือบเห็นนกเขาสองตัว บินมาเกาะบนระแนงไม้ ไม่ได้เกาะเฉยๆนะคะ เค้าจิกเคราฤาษีแล้วคาบขึ้นไปทำรังบนหลังคา เฮ้ยนี่มันไม่ใช่หญ้าแห้งนะเฟ้ย
คุณเธอจะสร้างครอบครัวอะไรก็ดูสภาพแวดล้อมมั่งซิ (ว่างจัด…ทะเลาะกับนก)
พักสายตา
สุดท้ายก็เลยต้องรื้อทำใหม่ โดยเปลี่ยนมาใช้ไม้แขวนพวกเดป ริปซาลิสสายฝน สลับกับทิลแลนเซีย คราวนี้ไม่ต้องคิดเยอะค่ะ แค่จับไม้แขวนพวกนี้มาห้อยรวมกัน เลือกวางตำแหน่งให้ดี ไม่ให้บังกันแค่นั้น
ไม้พวกนี้มีข้อดีคือโตช้า ไม่ต้องดูแลมาก แต่ข้อดีก็เป็นข้อเสียไปในตัว ด้วยความที่โตช้า ถ้าเราซื้อมาน้อยๆ แล้วคิดจะขยายพันธุ์เพิ่ม ต้องรอกันนานเลยค่ะ วัยรุ่นใจร้อนอย่างเรา อยากให้สวนสวยเร็วๆ ก็เลยต้องยอมควักกระเป๋าจ่ายซื้อมาทีหลายๆอัน แบบว่าแขวนปุ๊บสวยปั๊บเลย
แถวบนเป็นเดปด่าง ตรงกลางคือสายฝน แถวล่างเป็นทิลแลนเซีย ส่วนไม้ในกระถางล่างสุดคือหลิวญี่ปุ่น
ส่วนระแนงไม้อีกอัน เราไปหาซื้อไม้เก่าท่อนยาวๆมาอันนึง ไม้ชิ้นนี้มีรูเล็กๆอยู่สามจุด จัดการตัดให้พอดีกับความกว้างของระแนงไม้ แล้วผูกประกบกับขอบระแนงไม้ด้านบน ใส่หน่อสับปะรดสีไว้ตามช่อง เก็บเศษเคราฤาษีที่กระจัดกระจายมาแขวนกับลวด ได้มาสามพวงแล้วจับแขวนไว้ อ้าวไม่พอ ต้องออกไปซื้อมาเพิ่มอีกสองพวง
ยังมีทิลแลนเซียเหลืออยู่อีกสามกระจุก จับมาห้อยไว้ด้วยกัน ทิลแลนเซียสองต้นล่างสุดนี้ ตอนเราซื้อมากำลังออกดอกสีชมพู สวยหวานเลยค่ะ แต่ตอนนี้ดอกโรยไปหมดแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่จะออกมาให้ยลโฉมอีก
เหมือนจะดูดีขึ้นเนอะ พรางถังเก็บน้ำข้างหลังไปได้หน่อย
จุดถัดไปเป็นพื้นที่ว่างหน้าระแนงไม้ค่ะ
นี่ค่ะ before และ after
จัดนี้อยู่ติดกับผนังบ้าน กลัวว่าถ้าปลูกต้นไม้ติดตัวบ้านแล้วรดน้ำทุกวัน อาจจะชื้นเกินไป เราเลยต้องหาวิธีเลี่ยงด้วยการพูนดินขึ้นมาเป็นแปลงปลูกต้นไม้เตี้ยๆ ใช้อิฐมอญเก่าๆ ที่เหลืออยู่มากั้นทำขอบด้านในที่ติดกับผนังบ้าน ส่วนด้านหน้ากั้นด้วยหินฟองน้ำ ไปหาซื้อปูนก่อสำเร็จรูปมาหยอดตามรอยต่อ พอให้ตั้งอยู่ได้ ออกมาเป็นแปลงปลูกต้นไม้ตื้นๆ แบบนี้ค่ะ
ตรงขอบแปลงเราใช้ตาข่ายพลาสติครองไว้ด้านล่างก่อนเทดินถุงใส่ลงไปในแปลง เพื่อกันดินไหลออกตอนรดน้ำต้นไม้ มีต้นกล้าปูเล่เหลือๆ อยู่ จับมาลงให้หมด แล้วลงเฟิร์นกนกนารีเลื้อยเพื่อคลุมหน้าดิน ไอ้ต้นนี้แถวบ้านเราไม่ค่อยมีขาย หาตั้งนาน ได้กระถางเล็กๆมากระถางเดียวเอง อร๊ากเมื่อไหร่จะเต็มแปลงเนี่ย
เริ่มเลื้อยแล้วค่ะ แต่ยังไม่เต็มแปลง เห็นใบปูเล่มั๊ยคะ พรุนเชียว ฝีมือนังหอย เย้ยทากน้อยหอยสังข์ในบ้านนั่นแหละค่ะ
ดูไปดูมา มันเขียวไปนะ ไม่ค่อยมีสีสันเลยค่ะ ไปหาของแต่งสวนมาเพิ่ม ได้เห็ดดินเผาดอกนี้มาจากร้านต้นไม้ ตรงแยกถนนรามอินทราเข้าถนนเกษตร – นวมินทร์ เส้นตัดใหม่ จับมาวางรวมๆกับดอกเล็กๆอีกสามสี่ดอก แล้วขยับตำแหน่งต้นปูเล่นิดหน่อย ดูมีสีสันขึ้นอีกนิด
ถ้าเป็นเห็ดจริงนี่คงต้มแจกได้ทั้งหมู่บ้านแน่ ดอกใหญ่ขนาดนี้
สภาพปัจจุบัน กนกนารีเลื้อยเกือบเต็มแปลงแล้วค่ะ แต่มันดูไม่ค่อยสม่ำเสมอเท่าไหร่ บางจุดก็ฟูสวยเชียว แต่บางจุดแห้งตายซะงั้น ยังหาสาเหตุไม่เจอ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร
เริ่มปลูกตอนมี.ค ใช้เวลาไปหกเดือนกว่าจะเต็มแปลง เขียว..นุ่ม…ชุ่มชื่น แต่ต้องรอกันนานนนนหน่อย
ด้านข้างแปลงปูเล่นี่ยังมีพื้นที่เล็กๆเหลืออยู่นิดนึง เราไปกลิ้งตอไม้และก้อนหินทรายลูกเต๋า ที่เหลืออยู่ในบ้านมาวาง แล้วหากระถางสับปะรดสีมาวางประดับ
เจ้าก้อนหินทรายสี่เหลี่ยมลูกบาศน์นี่หนักมากค่ะ นึกๆแล้วก็ขำอยู่ในใจ ตอนจัดสวนครั้งแรก เห็นอะไรสวยไปหมด ขนมาได้นะหนักอึ้งขนาดนี้ แต่ตอนนี้นึกไม่ออกอ่ะ ว่าตรูซื้อมันมาทำมะไรเนี่ย
เป็นจุดที่เราเดินผ่านบ่อยๆ ต้องหาต้นไม้เล็กๆ ไม่มีกิ่งก้านยื่นออกมาเกะกะทางเดิน
ดูภาพมุมก้าง เย้ย..ไม่ใช่ มุมกว้าง
เย้ เย้ สวนแนวตั้งของเรา สำเร็จเสร็จสิ้นไปหนึ่งจุด
สวนแนวตั้งแบบที่ 2 จากตอไม้ ขอนไม้เก่าๆ
ก่อนและหลังจัดเป็นแบบนี้ค่ะ
มาดูรายละเอียดจุดที่สองเลยนะคะ จากข้อจำกัดทางด้านพื้นที่ ซึ่งค่อนข้างแคบและยาว คิดว่าถ้าปลูกต้นไม้ริมทางเดินมากๆ อาจจะยิ่งดูแคบไปกันใหญ่ ลองหาวิธีปลูกต้นไม้บนตอไม้ดูบ้าง เราไปหาซื้อตอไม้เก่าๆ ได้มาสามตอแบบนี้ค่ะ บางอันมีเฟิร์นข้าหลวงติดมาด้วย จับมาตั้งเรียงๆ กันริมรั้วแบบนี้
ตรงพื้นราบหน้าตอไม้ เราไปหาหินไข่และหินฟองน้ำมาวางกั้นเป็นขอบ ลงสับปะรดสีไปสามต้น (ปลูกด้วยกาบมะพร้าวนะคะ เพราะถ้าปลูกลงดินอาจจะแฉะและเน่าตายได้)
รอบๆ ก็ปลูกเฟิร์นกนกนารีแซม ใช้กนกนารีแบบต้นปลูกไว้ด้านหลัง แล้วใช้กนกนารีแบบเลื้อยปลูกแนบกับหินฟองน้ำด้านหน้า พื้นที่ว่างๆ เราก็จับหน่อสับปะรดสีเล็กๆในบ้านมาใส่กระถางแล้ววางแซมๆกันไป ยังดูแหว่งๆอยู่ ถ้าเฟิร์นโตคลุมพื้นที่แล้วคงจะดูดีกว่านี้นะ
ดูไปดูมา เราว่าต้นเดปบนตอไม้นี่มันรุงรังไม่ค่อยน่ามองเอาซะเลย ต้องหาวิธีตกแต่งใหม่ค่ะ ในบ้านมีตาข่ายพลาสติกเหลือๆ อยู่ เราตัดเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าสองชิ้น วางซ้อนกันให้เป็นรูปเครื่องหมายบวก จับปลายทั้งสี่ด้านยกขึ้นมาชนกัน จะได้เป็นตะกร้าสี่เหลี่ยม แล้วให้คุณแฟนช่วยมัดด้วยสายรัดของพลาสติค จากนั้นแกะต้นเดปออกแล้ววางตะกร้าลงไปบนตอไม้แทน
ดูภาพร่างคร่าวๆข้างล่างนี้นะคะ น่าจะพอนึกภาพตามได้ พอดีตอนทำไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้เลย ขนาดของสี่เหลี่ยมผืนผ้าก็แล้วแต่เราชอบ ว่าอยากได้ตะกร้าเล็กหรือใหญ่
จัดวางตะกร้าเรียบร้อยแล้ว มาเตรียมต้นไม้สำหรับปลูก เราใช้ต้นเดปที่รื้อออกมานั่นแหละค่ะ ผสมกับเดปหัวใจและไม้พวกริปซาลิส อย่างเช่น สายทับทิม ไข่มุก และสายฝน และไม้ประธานคือสัปปะรดสี เลือกต้นที่มันทนแดดได้ เพราะจุดนี้ได้รับแดดช่วงสายๆ ไปจนถึงบ่าย
วิธีการปลูกคือ รองก้นตะกร้าด้วยพวกถ่านหรือโฟมก็ได้ค่ะ เพื่อเวลาหน้าฝนจะได้ช่วยเรื่องระบายน้ำ ไม่ทำให้ก้นตะกร้าแฉะจนเกินไป ไม่งั้นสับปะรดสีเน่า แล้วใส่กาบมะพร้าวสับลงไปนิดนึง วางสับปะรดสีเป็นไม้ประธานไว้ตรงกลาง ข้างๆก็ลงพวกริปซาลิส ถอดออกจากกระถางพลาสติคแล้วใส่ลงไปเลยค่ะ เพราะพวกนี้ร้านค้าเค้าปลูกด้วยกาบมะพร้าวสับเหมือนกัน
ตอนปลูกต้องดูทิศทางแสงแดดด้วยนะ ด้านไหนได้รับแสงเยอะ ก็ใส่ต้นสายทับทิมลงไปเพราะเป็นไม้ชอบแดด ไม่โดนแดดเดี๋ยวไม่แดงอีก ส่วนช่องว่างที่เหลือก็อัดๆต้นเดปและพวกริปซาลิสลงไป
แต่น แต๊น ออกมาเป็นแบบนี้ค่ะ ฝีมือการยัด…เย้ยจัดของเราเอง
เคล็ดลับในการจัดตะกร้าแบบนี้ให้สวย ต้องเลือกไม้ประธานสีเด่นๆ ซักต้น แล้วหาไม้ประดับรองๆที่สีตัดกันค่ะ
เสร็จไปหนึ่งแล้ว เราเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ตอไม้อันกลาง เดิมมีเฟิร์นข้าหลวงหลังลายติดอยู่บนตอ ตอนเริ่มจัดสวนมุมนี้เป็นเดือนมี.ค อากาศยังไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ แต่พอเข้าเม.ย จนถึงพ.ค แดดร้อนทะลุทะลวงมาก ข้าหลวงหลังลายก็เลยกลายเป็นข้าหลวงหลังขาด เพราะใบไหม้เกรียมเนื่องจากโดนแดดบ่ายเผา โดนคำสั่งย้ายไปตามระเบียบ
ต้นไม้ที่มาลงแทนก็ไม่พ้นสับปะรดสีค่ะ หาต้นที่มันแตกหน่อแบบเป็นกิ่งๆยื่นออกมา หรือที่แม่ค้าเค้าเรียกว่าตะเกียงนั่นแหละค่ะ
แบบนี้ค่ะ หามาซักสองสี
เราตัดออกมาเป็นกิ่งๆ แล้วจับมาพาดๆกันไว้บนตอ ตอกตะปูตัวเล็กๆ ไว้ด้านข้าง แล้วผูกเชือกมัดตะเกียงสับปะรดเข้ากับตะปู กันลมพัดหล่น
ไม่ต้องแต่งอะไรมาก เพราะด้านล่างมีเฟิร์นขึ้นแซมอยู่แล้ว เดี๋ยวจะดูรกไปกันใหญ่
ขยับมาที่ตอสุดท้ายซ้ายมือซึ่งมีเฟิร์นข้าหลวงอยู่บนตอไม้เหมือนกัน เรายังไม่ย้ายเค้าออก อยู่ในช่วงดูใจว่าจะรอดหรือไม่รอด ตอไม้ด้านล่างดูโล่งไปนิด เราเลยไปหาหน่อสับปะรดสี ในบ้านมาตกแต่งเพิ่มเข้าไป
การติดสับปะรดสีเข้ากับตอไม้ เนื่องจากทำงานคนเดียวไม่มีคนช่วยจับ เราหาเชือกมาผูกหน่อสับปะรดเข้ากับตอไม้ก่อนค่ะ เล็งหาตำแหน่งจนพอใจแล้วตอกตะปูตัวเล็กๆลงไปสองตัวไขว้กันเพื่อยึดกิ่งสับปะรดให้แนบกับตอไม้ไม่ขยับ เรียบร้อยแล้วค่อยตัดเชือกออก หาเคราฤาษีมาห้อยๆ บังตะปูไว้
ตอกตะปูไขว้กันแบบนี้ค่ะ
ไม่อยากเสียเงินซื้อต้นไม้เยอะ ก็ต้องใจเย็นๆ รอขยายพันธุ์สับปะรดสีในบ้านไปเรื่อยๆ ซักวันคงเต็มตอไม้นี้ (ไม่รู้วันไหนนะซิ)
เรามีไหปลาร้าอยู่ในบ้านสามใบ พิมพ์ไม่ผิดหรอกค่ะ ไหปลาร้าจริงๆ ตอนไปเที่ยวบ้านแฟนที่ตจว. เห็นมันวางกลิ้งอยู่แบบไม่มีใครแยแส ก็เลยยกใส่รถมา (ตอนนั้นก็ไม่รู้จะเอามาทำอะไรเหมือนกัน)
เห็นพื้นที่ข้างๆตอไม้ที่ติดกับกำแพงยังโล่งๆอยู่ ก็เลยยกไหพวกนี้มาวางแต่งสวนมุมนี้ซะเลย หากระถางใส่ต้นพรมญี่ปุ่นมาวางไว้บนปากไห ให้กิ่งห้อยย้อยลงมา เออ..ก็พอดูได้อยู่หรอกนะ..
ไม้เก่าในบ้านยังเหลืออยู่ค่ะ พยายามหาวิธีใช้ให้หมด เราให้คุณแฟนช่วยตัดไม้แล้วประกอบออกมาเป็นชั้นวางของสองชิ้น ทำความสูงให้ไล่ระดับกัน ยกมาวางชิดริมรั้ว ขุดหลุมแล้วเทปูนก่อสำเร็จรูปลงไปก่อนแล้วค่อยยกชั้นไม้วางลงไป พอปูนแห้งก็ยึดเกาะชั้นไม้ไว้พอดี อาจจะไม่ค่อยแข็งแรงนัก เน้นวางของตกแต่งเล็กๆ ค่ะ
ของตกแต่งจุดนี้ก็เป็นพวกไม้ในร่มที่เราเด็ดกิ่งมาจิ้มๆ ใส่กระถางขยายพันธุ์ไว้ค่ะ ต้นไหนโทรมก็ยกไปอนุบาลด้านหลัง บวกกับตุ๊กตาตัวเล็กตัวน้อย อ้าวทำไปทำมา เริ่มเยอะแล้วนะเนี่ย อิอิ
พอเข้าหน้าร้อน แสงแดดเปลี่ยนทิศ สับปะรดสีบางต้น ได้รับแสงมากเกินไปจนซีด ก็ต้องโยกย้าย สับเปลี่ยนกันไปตามสภาพ เคล็ดลับที่ได้จากแม่ค้าขายต้นไม้เวลาเลือกซื้อสับปะรดสีคือ สับปะรดสีที่ทนแดดส่วนใหญ่จะเป็นพวกใบหนาๆ แข็งๆ บางพันธุ์ก็มีหนาม ส่วนพวกที่สีสันสดๆ รูปร่างเป็นแฉกๆเหมือนดอกไม้ พวกนี้จะไม่ค่อยชอบแดดจัด โดนแดดได้บ้างช่วงเช้าค่ะ
รูปนี้เป็นสภาพปัจจุบัน สับปะรดสีเค้าโตช้าค่ะ ไม่ทันต้นกนกนารีซึ่งสูงพรวดจนแทบจะคลุมแปลงมิด เราเลยต้องย้ายสับปะรดสีใส่กระถาง แล้วหนุนด้วยอิฐให้สูงขึ้นมานิดนึง จะได้ดูเด่นๆ
เรียบร้อยไปอีกหนึ่งมุม เย้ เย้
เริ่มดูเหมือนบ้านคนขึ้นมาหน่อย ว่ามะ
สวนแนวตั้งแบบที่ 3 กำแพงอิฐดินเผา
เปรียบเทียบให้เห็นกันจะจะ
ตามมาดูสวนแนวตั้งจุดสุดท้าย ไอ้เจ้าพื้นที่แคบๆ ติดระแนงบังตาตรงนี้ เรานั่งคิดอยู่นานมาก จะทำอะไรกับมันดีนะ ใจนึงอยากก่ออิฐทำเป็นกำแพงน้ำริน จะได้นั่งจิบกาแฟฟังเสียงน้ำไหลให้เพลินๆ แต่อีกใจนึงก็อดกังวลถึงการดูแลรักษาไม่ได้ ก่อน้ำตกแล้วดูแลไม่ดี อาจจะกลายเป็นบ่อเพาะพันธุ์ยุงในอนาคตไป
กว้างเมตรเดียวเอง ทำไงกะพื้นที่ตรงนี้ดี
หันซ้ายหันขวาเห็นกองอิฐดินเผาเก่าๆ ที่ยังเหลืออยู่ในบ้าน ก็เลยล้มเลิกความคิดเรื่องกำแพงน้ำรินไป ตัดสินใจยกอิฐ ที่เห็นพวกนี้มาเรียงซ้อนกันเป็นกำแพงเตี้ยๆ สูงประมาณ1 เมตร ซ้อนกันเฉยๆ ไม่ได้ก่อปูนนะคะ ทิ้งไว้ระยะนึง เพื่อให้พื้นดินอยู่ตัว มั่นใจว่ากองอิฐจะไม่โค่นลงมา
หนึ่งเดือนผ่านไป คิดว่าน่าจะอยู่ได้ไม่มีปัญหา เราก็รื้ออิฐลงมาเพื่อล้างเศษดินออก เวลาวางซ้อนกันแล้วจะได้ไม่กระดก จากนั้นก็เรียงกลับไปเป็นกำแพงเหมือนเดิม นั่งขัดไปทีละก้อนกว่าจะเสร็จเล่นเอาหน้ามืด
ใช้อิฐดินเผาขนาด 14 x 29 ซม. 97 ก้อน เรียงเป็นกำแพงยาว 2.35 ม. สูง 1 ม.
หน้ากำแพงยังโล่งๆอยู่ หาตาข่ายพลาสติกมารองพื้นแล้วปูอิฐมอญทับลงไป
จากนั้นโรยกรวดขนาดเล็กปิดตามช่องว่าง หากระถางต้นไม้เล็กๆ มาวางประดับด้านบน
หาต้นไม้มาปลูกประดับกำแพง เราตัดไหลของพรมญี่ปุ่นที่มีอยู่ในบ้าน นำไปชำในกระถาง พอเริ่มออกรากแล้วก็แซะมาเสียบลงไปตามช่องอิฐมอญ วันแรกๆ ก็รดน้ำบ่อยๆ ให้ชื้นๆ พอตั้งตัวได้ก็รดน้ำปรกติวันละครั้ง
ต้นนี้รอดแล้วค่ะ ออกดอกสีชมพูมาให้ชื่นใจ ส่วนต้นขวามือนั่นยังต้องลุ้นกันอีกนาน จะรอดหรือจะล่วง
นอกจากพรมญี่ปุ่นแล้ว ไม้คลุมดินพวกเบญจรงค์ใบแดง หรือไม้ในร่มพวกบีโกเนียก็นำมาปลูกกับกำแพงอิฐมอญได้เหมือนกัน แต่บีโกเนียอาจจะดูใหญ่ไปสำหรับกำแพงเล็กๆแบบนี้ เราก็เลยเลือกต้นเบญจรงค์ใบแดงมาปลูก ตัดกิ่งมาเสียบๆ เข้ากับช่องว่าง แล้วรดน้ำบ่อยๆก็รอดแล้วค่ะ ต้นนี้ขยายพันธุ์ง่ายมาก
ตอนทำกำแพงนี้ แอบฝันหวานว่าจะได้เห็นกำแพงมอสเขียวๆ สลับกับพรมญี่ปุ่นห้อยย้อยอ่อนหวาน แต่พอทำจริงๆ แล้วก็พบว่าบริเวณนี้มันไม่ชื้นอย่างที่คิด เพราะว่าอยู่ทิศเหนือของบ้าน หน้าหนาวมีลมโกรกตลอดเวลา พอไม่ชื้นมอสเค้าก็ไม่มาค่ะ มาแต่ตะไคร่ ดำเชียว อร๊าก….
สวนมุมนี้คงต้องใช้เวลาอีกนานเลยค่ะกว่าจะสมบูรณ์ มีมอสเขียวๆ มาเกาะ ตอนนี้ก็ต้องท่องไว้ในใจ จัดสวนต้องใจเย็นๆ อิอิ
เสร็จจากสวนแนวตั้งทั้งสามแบบแล้วเรามาไล่เก็บรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเพิ่มเติม ตรงมุมรั้วติดกับระแนงบังตา ลงต้นหมากผู้หมากเมียสองต้น อาศัยทรงต้นสูงๆ เพื่อพรางสายตาไม่ให้พื้นที่แคบๆดูอึดอัด ด้านล่างลงไม้คลุมดินคือต้นสังกรณีใบมัน จุดนี้ไม่ค่อยโดนแดด ก็เลยได้ดูแต่ใบมันๆแทนดอก
ด้านซ้ายมือเป็นกระถางพุดศุภโชคและพุดซ้อน ที่ปลูกลงกระถางเพื่อจำกัดขนาดไม่ให้โตจนเกินไป ตามตำราบอกว่าให้ปลูกไม้ดอกหอมไว้เหนือลม คือทิศตะวันออกเฉียงเหนือหรือตกเฉียงใต้ เพื่อเวลาลมพัดจะได้หอบกลิ่นหอมๆ เข้าบ้าน นี่กางตำราปลูกกันเลยทีเดียว แต่มุมนี้ไม่ค่อยโดนแดด ไม่รู้ว่าพุดซ้อนนี่จะกลายเป็นพันธุ์ดูใบ คือมีแต่ใบให้ดูแทนดอกหรือป่าว
ด้านขวามือเป็นกระถางดินเผาขนาดใหญ่ปลูกต้นหลิวทอง ด้านล่างลงต้นเบญจรงค์ใบแดงคลุมหน้าดินไว้เพื่อป้องกันดินกระเด็นเวลารดน้ำ
หาตุ๊กตาครอบครัวกุ๊กไก่มาตั้งเพื่อเพิ่มสีสัน ใช้เศษอิฐรองด้านล่างให้สูงพ้นใบไม้ขึ้นมานิดนึง
ส่วนตรงมุมเสาซึ่งมีท่อระบายน้ำจากรางน้ำฝนติดอยู่ เราซื้อตุ๊กตาเด็กดินเผามาผูกเรียงเป็นแถว ห้อยลงมาเพื่อพรางท่อระบายน้ำ
จากนั้นยกกระถางดินเผามาวางด้านล่าง เพื่อรับน้ำจากท่อระบายน้ำ กันไม่ให้น้ำไหลลงดินตรงๆ ไม่งั้นเซาะหน้าดินพังหมดแน่ๆ
หาโต๊ะและเก้าอี้มาตั้งไว้นั่งเล่นชมสวน โซฟาไม้ตัวนี้ ยกมาจากสวนมุมที่สองค่ะ สีเดิมเริ่มซีดแล้วก็เลยได้เวลาทาสีป้องกันเนื้อไม้กันอีกรอบ
งานนี้ต้องขอบคุณแรงงานในบ้านที่โดนเกณท์มาช่วย ทั้งแบบเต็มใจและไม่เต็มใจ เนื่องจากการจัดสวนครั้งนี้ใช้อุปกรณ์หนักๆ หลายอย่าง ทั้งระแนงไม้ ตอไม้ ไหนจะตัดไม้ ทาสีอีก เกินกำลังผู้หญิง (บอบบาง) อย่างเราจริงๆ
มุมสบายๆ
จากพื้นที่รกๆหลังบ้าน ตอนนี้กลายเป็นมุมโปรดของเราไปแล้วค่ะ เพราะตอนเช้าๆมุมนี้จะเย็น เงียบและเป็นส่วนตัวมาก วันหยุดไม่ได้ออกไปไหน ส่วนใหญ่เราก็จะขลุกอยู่แถวๆนี้ นั่งเล่น จิบกาแฟ อ่านหนังสือ ทำงาน เพาะเมล็ดผัก เรียกว่าใช้พื้นที่หลังบ้านนี้ได้เกิดประโยชน์สูงสุด ตามจุดประสงค์ที่คิดไว้ตอนเริ่มลงมือจัดสวน
1. ปิดท้ายกระทู้นี้กับวิธีการเลือกต้นไม้สำหรับการจัดสวนแนวตั้งและพื้นที่แคบๆ พยายามหาต้นไม้ที่โตขึ้นทางแนวดิ่ง เรียกง่ายๆ ก็ต้นไม้ที่มีทรงต้นสูงๆ ไม่ใช่ไม้พุ่มที่จะแผ่ออกทางด้านข้าง เพื่อพรางสายตาไม่ให้พื้นที่แคบยิ่งดูแคบขึ้นไปอีก ที่เราใช้ก็คือต้นหมากผู้หมากเมียและต้นหลิวทอง หมากผู้หมากเมียเป็นไม้ประดับที่ปลูกและขยายพันธุ์ง่ายมากค่ะ ตัดยอดไปชำก็ขึ้นแล้ว
2. ถ้าจำเป็นต้องใช้ไม้พุ่มหรือไม้คลุมดิน เพื่อให้สวนดูมีมิติ ก็พยายามหาไม้พุ่มต้นเล็กๆ ใบละเอียดๆ เพื่อทำให้สวนไม่ดูอึดอัด เราเลือกต้นสังกรณีและกนกนารี มาลงคลุมพื้นหน้าตอไม้
เฟิร์นกนกนารี
3. หาต้นไม้ที่โตช้า ไม่ต้องดูแลมาก เปรียบกับรถยนต์ก็คือพวก low maintenance อ่ะนะ พวกไม้รากอากาศ ทิลแลนเซีย ไม้แขวน ริปซาลิส รวมทั้งสับปะรดสี ได้หมดอ่ะ แต่เจ้าสับปะรดสีนี่ ต้องทำใจนิดนึงคือ เลี้ยงไม่ยากค่ะ แต่จะเลี้ยงให้สวยๆ มีสีสันตามมาตรฐานไม่ง่าย จะปลูกให้สวย ต้องมีการพรางแสง ตามชนิดและถิ่นกำเนิดของสับปะรดสี แต่เราปลูกเพื่อประดับสวน ไม่ได้คิดจะส่งประกวดประชันที่ไหน สีเพี้ยนไปมั่งไรมั่ง ชั่งมันเถอะ
มองหาต้นไม้โตช้าหรือคะ นี่เลยค่ะ สับปะรดสี รับรองไม่ผิดหวัง
4. พวกของตกแต่ง ก็อย่าเยอะ หาของเล็กๆ พอมีสีสัน กระถงกระถาง ตุ๊กตาตัวใหญ่ๆ อย่าใส่เข้ามา มันแคบ (ที่เขียนมานี่ อิชั้นลองมาหมดแล้วค่ะ)
ลากันไปด้วยภาพนี้นะคะ สำหรับคนรักต้นไม้แล้ว พื้นที่จะเล็กหรือใหญ่ไม่ใช่ปัญหาค่ะ ขอแค่เรามีใจรัก ก็สามารถหาวิธีปลูกต้นไม้ เพิ่มสีเขียวเพื่อสร้างบรรยากาศสดใส ให้กับบ้านเราได้ค่ะ บ๊ายๆ
ที่มา : เรือนขวัญ