สำหรับคนที่สนใจซื้อบ้านหรือซื้อห้องชุด อาจพบคำภาษาอังกฤษต่างๆ ในโบชัวร์ที่ได้รับมาจากนายหน้าขายบ้านหรือบริษัทอสังหาริมทรัพย์เจ้าของโครงการ แม้คุณจะเรียนภาษาอังกฤษมาแล้ว แต่คุณอาจจะไม่แน่ใจนักว่าคำต่างๆ เหล่านี้หมายความว่าอะไร หมายถึงบ้านประเภทไหน
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเหล่านั้นหมายถึงบ้านประเภทต่างๆ ซึ่งคนที่ต้องการซื้อบ้านหรือห้องชุดควรรู้จักและทำความเข้าใจก่อนวางเงินมัดจำ ในบทความนี้เราจะช่วยให้คุณเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้และเลือกบ้านในฝันของคุณได้ง่ายยิ่งขึ้น
ประเภทบ้านในประเทศไทย มีดังต่อไปนี้
1. บ้านเดี่ยว
บ้านเดี่ยวในภาษาอังกฤษมีคำเรียกหลายคำ เช่น Single House, Single Detached House, Single-Family Home บ้านเดี่ยวเป็นลักษณะบ้านที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
ข้อดี
- บ้านเดี่ยวมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า และมักมีรั้วบ้าน
- มีเนื้อที่กว้างกว่าบ้านแบบอื่นๆ มีขนาดที่ดินไม่ต่ำกว่า 50 ตร.ว.
- พื้นที่หน้ากว้างไม่ต่ำกว่า 10 ม.
- ได้รับการรบกวนจากเพื่อนบ้านน้อยกว่าบ้านอื่นๆ
ข้อเสีย
- เจ้าของบ้านต้องมีงบบำรุงบ้าน
- ราคาบ้านลักษณะนี้สูงกว่าบ้านลักษณะอื่น
2. บ้านแฝด
บ้านแฝดคือบ้านที่คล้ายกับบ้านเดี่ยว แต่จะมีโครงสร้างใดโครงสร้างหนึ่ง เช่นผนังหรือคานบ้านเชื่อมติดกับตัวบ้านอีกหนึ่งหลัง คำว่าบ้านแฝดในภาษาอังจะใช้คำว่า Twin House หรือ Semi-Detached house
ข้อดี
- ราคาถูกกว่าบ้านเดี่ยว
- ยังคงมีความส่วนตัวในระดับหนึ่ง
- มีพื้นที่หน้ากว้างไม่ต่ำกว่า 8 ม. ไม่ต่างจากบ้านเดี่ยวมากนัก
ข้อเสีย
- การเลือกบ้านต้องใส่ใจเพื่อนบ้านเป็นพิเศษ
- มีความเป็นส่วนตัวน้อยกว่าบ้านเดี่ยว หากเป็นบ้านแฝดที่ใช้ผนังร่วมกัน อาจได้ยินเสียงของกันและกันในระหว่างการทำกิจกรรมภายในบ้าน
- มีพื้นที่น้อยกว่ากว่าบ้านเดี่ยว มีขนาดที่ดินไม่ต่ำกว่า 35 – 50 ตร.ว.
3. ทาวน์โฮม / ทาวน์เฮ้าส์
บ้านทาวน์เฮ้าส์ หรือ Town House คืออาคารพาณิชย์ หรือ บ้านแถว/ตึกแถวที่มีหน้าตาและรูปแบบการออกแบบเหมือนกัน ตัวบ้านอยู่ชิดติดกันเป็นแถบตั้งแต่ 2 คูหาขึ้นไป ความสูงไม่เกิน 3 ชั้น ส่วนใหญ่แล้วมักสร้างเป็นบ้านแถว 2 ชั้น ส่วนคำว่า ทาวน์โฮม (Town Home) คือการบ้านทาวน์เฮ้าส์ที่ได้รับการตกแต่งและดีไซน์ให้สวยงาม มีความรู้สึกเหมือนบ้านเดี่ยวมากยิ่งขึ้น อาจเรียกได้ว่า ทาวน์โฮมก็คือบ้านแถวที่ยกระดับด้วยการตกแต่งและออกแบบนั่นเอง
ข้อดี
- ราคาจับต้องได้
- เหมาะสำหรับผู้อยู่อาศัยที่อยู่คนเดียว อยู่เป็นคู่ และครอบครัวขนาดเล็ก
- สามารถดัดแปลงบางส่วนของบ้านเป็นห้องทำงานหรือสำนักงานก็ได้
- ทำเลของทาวน์เฮ้าส์ มักอยู่ทางตรงใจกลางเมืองและชานเมือง
ข้อเสีย
- พื้นที่หน้ากว้างอย่างต่ำ 4 เมตร ซึ่งน้อยกว่าบ้านแฝด แต่ตัวบ้านมักมีตอนลึกกว่า
- ทาวน์เฮ้าส์หรือทาวน์โฮมที่ไม่มีการแบ่งพื้นที่รั้วอย่างเป็นสัดส่วนอาจมีปัญหาสำหรับคนมีรถยนต์ เพราะอาจเกิดปัญหาจอดรถกับเพื่อนบ้านได้
4. โฮมออฟฟิศ
โฮมออฟฟิศ ภาษาอังกฤษแปลว่า Home Office เป็นบ้านเดี่ยวที่ออกแบบ และถูกจัดสรรพื้นที่ใช้สอยอย่างเป็นสัดส่วนเพื่อให้เหมาะกับการทำงาน จุดประสงค์เพื่อให้สามารถใช้เป็นทั้งที่พักและที่ทำงานได้ในเวลาเดียวกัน
ข้อดี
- ใช้สถานที่เป็นทั้งที่ทำงานและที่พักได้เลย ไม่ต้องเช่าที่ 2 ต่อ
- โฮมออฟฟิศให้บรรยากาศผ่อนคลายต่อการทำงาน เหมาะสำหรับผู้ทำงานส่วนตัวหรือ work from home
- ไม่เสียเวลาในการเดินทาง
ข้อเสีย
- ต้องมีงบมากกว่าในการซื้อเฟอร์นิเจอร์สำหรับสำนักงาน
- โฮมออฟฟิศที่มีขายมักอยู่ไกล เช่น ชานเมือง หรือซอยลึก หากเป็นทำเลกลางเมืองหรือใกล้รถไฟฟ้าก็จะมีราคาสูงมาก
- โฮมออฟฟิศมีภาพลักษณ์น่าเชื่อถือน้อยกว่าสำนักงานเพราะมีบรรยากาศเป็นทางการน้อยกว่า
5. อพาร์ทเมนต์/แฟลต
อพาร์ทเมนต์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Apartment มีลักษณะคล้ายอาคารพาณิชย์ มีหลายชั้น หลายยูนิต แต่ตัวอาคารมักมีเจ้าของเพียงคนเดียว และแต่ละยูนิตมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เช่า แต่ละยูนิตหรือแต่ละห้องอาจมีเฟอร์นิเจอร์หรือไม่ก็ได้ ห้องให้เช่าในอพาร์ทเมนต์มักไม่มีห้องครัว หรือเป็นห้องครัวขนาดเล็ก หากห้องเช่าตั้งอยู่ในทำเลดี มีสิ่งอำนวยความสะดวกและมีการรักษาความปลอดภัยครบถ้วนมักมีราคาค่าเช่าสูง
ส่วนคำว่าแฟลต เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า flat เป็นอีกคำที่ใช้เรียกอพาร์ทเมนต์ แต่ปัจจุบันคนไทยมักใช้คำว่าแฟลตเรียกอพาร์ทเมนต์ที่มีราคาถูกกว่า และใช้เรียกอพาร์ทเมนต์ที่รัฐบาลสร้างขึ้นเพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐอาศัยอยู่
ข้อดี
ราคาถูก
- เหมาะสำหรับผู้ต้องการเช่าอาศัย
- เหมาะสำหรับผู้อาศัยที่อยู่คนเดียว อยู่เป็นคู่ หรือครอบครัวขนาดเล็ก
- มักมีเฟอร์นิเจอร์ที่สำคัญๆ ให้พร้อมเช่น เตียง ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า เป็นต้น
ข้อเสีย
- มักมีขนาดเล็ก ไม่มีห้องครัว หรือห้องครัวขนาดเล็กมาก ไม่สามารถทำอาหารได้สะดวก
- ไม่ให้ความรู้สึกเหมือนบ้าน เป็นเหมือนสถานที่พักหลังจากทำงานมากกว่า
- ไม่เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีเด็กมากกว่า 1 คน
6. คอนโดมิเนียม (คอนโด)
คอนโดนิเนียมมาจากคำว่าภาษาอังกฤษว่า Condominium หรือเรียกสั้นๆ ว่า คอนโด (Condo) ในประเทศไทยคอนโดมักมีหลายชั้น แต่ละชั้นแบ่งออกเป็นห้องชุดหลายห้อง ซึ่งขายโดยบริษัทอสังหาริมทรัพย์
ดังนั้นคุณสามารถซื้อหรือเช่าคอนโดมิเนียมจากนายหน้าหรือเจ้าของห้องที่ซื้อมาจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ก็ได้ โดยทั่วไปประเภทห้องในคอนโดมิเนียมสามารถแบ่งได้เป็น สตูดิโอ (1 ห้อง), 1 ห้องนอน (ห้องนั่งเล่น + ห้องนอน), 2 ห้องนอน (ห้องนั่งเล่น + ห้องนอน) คอนโดมิเนียมหรูยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง เช่น ฟิตเนส และสระว่ายน้ำ
ผู้ซื้ออาคารชุดจะมีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของห้องชุดของตน และมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์สินส่วนกลาง เช่น ห้องโถง ที่จอด รถ ลิฟต์ สนาม และทางเดิน เป็นต้น ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการดูแลทรัพย์สินส่วนกลาง ผู้เป็นเจ้าของห้องชุดจึงต้องรับผิดชอบร่วมกัน
ข้อดี
- ห้องมีขนาดใหญ่ หากมีมากกว่า 1 ห้องนอนก็จะยิ่งให้ความรู้สึกเหมือนบ้านยิ่งขึ้น
- มักมีสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง เช่น ฟิตเนสและสระว่ายน้ำ
- คอนโดมักได้รับการดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดี และตกแต่งให้มีความสวยงามอยู่เสมอ
ข้อเสีย
- มีราคาแพง ยิ่งมีหลายห้องยิ่งมีราคาสูง คอนโด 1 ห้องชุดในทำเลกลางเมืองอาจมีราคาเท่ากับบ้านเดี่ยวในต่างจังหวัดเลยทีเดียว
- ห้องชุดอาจไม่มีเฟอร์นิเจอร์มาด้วย หากต้องการซื้อพร้อมเฟอร์นิเจอร์ราคาก็อาจสูงขึ้น
- สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางต้องใช้ร่วมกับเจ้าของห้องคนอื่นๆ ไม่สามารถทำอะไรก็ได้ตามใจตัวเองเท่านั้น
- มีค่าบำรุงรักษาส่วนกลางทุกปี