ในการทำธุรกรรมทางการเงินเกี่ยวกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ จะต้องมีความละเอียดรอบคอบเป็นพิเศษ ใบเสร็จค่าใช้จ่ายจากกระบวนการต่างๆ รวมไปถึงเอกสารสำคัญ ควรจะเก็บไว้ให้ครบ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด
วันนี้ ในบ้าน ก็จะมาแชร์ประสบการณ์ของคุณ ~*~SweEted~*~ ที่ได้ทำการฟ้องร้องโครงการคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งที่ได้ทำการตกลงว่าจะซื้อ เนื่องจากทำผิดสัญญาโดยการเอาห้องไปขายต่อโดยไม่บอก งานนี้จะลงเอยยังไง ต้องตามมาชมกันครับ
อุทาหรณ์… ชาวเน็ตฟ้องร้องคอนโด กรณีเอาห้องไปขายต่อโดยไม่บอกกล่าว!!
(โดยคุณ ~*~SweEted~*~)
จริงๆ เคสนี้จบที่ศาลชั้นต้นไปตั้งแต่ต้นปีที่แล้วนะคะ เพิ่งจะมีโอกาสเอาประสบการณ์การซื้อคอนโดและฟ้องศาลครั้งแรกมาแชร์ เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้าง เราก็เหมือนกับอีกหลายๆ คนที่หวังจะมีคอนโดซักห้องใกล้ที่ทำงาน แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันคือการซื้อคอนโดครั้งแรกกลับมีปัญหา..คงเคยได้ยินกันมาใช่ไหมคะว่าการขึ้นโรงขึ้นศาลเลี่ยงได้ควรเลี่ยง เพราะทั้งเสียเวลา เสียโน่นนั่นนี่ ไม่คุ้ม!!! ขอบอกว่าจริง เราต้องจมอยู่กับเรื่องนี้ถึง 2 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่เสียเวลา เครียด เบื่อหน่ายจริงๆ แต่ถ้าถามว่าหากย้อนเวลากลับไปได้ยังจะฟ้องไหม ก็ยังยืนยันเหมือนเดิมคือฟ้อง เพราะตั้งแต่ได้มาซื้อคอนโด เจอปัญหา (เคยอ่านเจอปัญหาอื่นๆ ในกระทู้ด้วย) รู้สึกว่าผู้บริโภคถูกเอาเปรียบหลายเรื่องมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าเปลี่ยนชื่อในสัญญา ได้ห้องชุดที่งานไม่เรียบร้อยแต่จะให้โอนรับอยู่นั่นหล่ะ ขอให้แก้ไขก็ยังต้องไปขอร้องอย่างกับเราไปขอฟรี ฯลฯ
การฟ้องในครั้งนี้ถ้าจะเปรียบเทียบสิ่งเสียไปกับสิ่งที่ชดเชยกลับมา บอกเลยว่าไม่คุ้ม ทั้งเสียเวลา เสียสมอง เบื่อ แต่ในตอนนั้นที่ตัดสินใจฟ้องเพราะอยากจะให้ดีวีลอปเปอร์ได้บทเรียนบ้าง เผื่อจะเข็ดและไม่ทำแบบนี้อีก เผื่อเคสแบบนี้จะลดลงบ้าง แต่ดูๆ แล้ว แทบไม่ค่อยได้ผลกระทบอะไรเลย ไม่มีมาตรการอะไรที่จะทำให้เข็ดได้ อย่างนัดมาศาลครั้งแรกฝ่ายโน้นไม่มา..ก็ต้องเลื่อนโดยไม่มีบทลงโทษอะไร ก็เสียเวลากันไป..ส่วนของ ค่าปรับ ค่าชดเชยนั้น ก็ยังเสียน้อยกว่ากำไรต่อห้องซะอีก โดนฟ้องยังไงก็คุ้ม!! เคสนี้เราได้ขอค่าเสียหายที่เป็นส่วนต่างที่นำห้องไปขายต่อในราคาที่สูงกว่าด้วย ซึ่งศาลท่านก็ให้จำเลยชดใช้ส่วนนี้ 1 แสนบาท
ในส่วนของการพิจารณาคดีในชั้นศาลจะมีรายละเอียดเยอะมาก ทุกอย่างพิจารณาตามหลักฐาน เพราะฉะนั้นขอให้รวบรวมหลักฐานให้ครบถ้วนและมากที่สุด (อย่างของเรามีแค็ปหน้าจอไลน์กรุ๊ปของลูกบ้านที่เป็นปัญหาส่งด้วย) เรื่องบางเรื่องที่เกิดขึ้นจริง..แต่ฝ่ายนั้นไม่ยอมรับรู้ด้วยก็มี ทำเอาเหวอไปเลย บางเรื่องทำจริงไม่ได้แต่ก็ยกมาฟ้อง เช่น บอกเราเป็นฝ่ายผิดสัญญาเพราะไม่ชำระค่างวด 4 งวดสุดท้าย ทั้งที่ลงวันที่ก่อนที่เราจะเข้ามาเป็นคู่สัญญา คงต้องมีไทม์แมชชีนอ่ะถึงจะทำได้ เพราะฉะนั้นหลักฐานสำคัญสุด ซึ่งเรามีหลุดหลักฐานบางอย่างไปบ้าง อย่างลืมขอใบเสร็จที่จ้างตรวจคอนโด
สำหรับการตัดสินคดี คือ ทางโครงการเป็นฝ่ายผิดสัญญาทำให้เราเสียหาย โดยชำระค่าเสียหาย คือ
– เงินดาวน์ที่จ่ายไปทั้งหมด (ไม่ได้รับดอกเบี้ย)
– เงินค่าดำเนินการเอกสาร (อันนี้ได้คืนเพราะมีหลักฐานบางอย่างแสดงว่าเงินเป็นของเรา) พร้อม ดอกเบี้ย
– ค่าปรับที่ไม่สามารถโอนห้องชุดได้ เป็นรายวัน วันละ 0.01 ของราคาห้อง
– ค่าเสียหายส่วนต่างที่เอาห้องไปขายต่อ ส่วนนี้เราได้ค่ะ แต่ไม่เท่าที่ขอไว้
– ส่วนค่าเสียหายที่ต้องไปอาศัยที่อื่น ถ้ามีใบเสร็จค่าเช่า อันนี้น่าจะได้คืน แต่เราไม่มีหลักฐานแสดงเลยไม่ได้
รายละเอียดเหตุการณ์
เรื่องเกิดเมื่อประมาณต้นปี 2557 เป็นการซื้อคอนโดที่มือไวใจเร็วมาก ไม่ศึกษาหาข้อมูลอะไรเลย (ไม่ควรเอาเป็นแบบอย่าง) เนื่องจากเราอยากได้คอนโดทำเลที่เราคุ้นเคย แล้วมาเจอคอนโดแห่งนึงก็เข้าไปดูหนึ่งครั้ง สร้างเกือบเสร็จแล้ว เลยเข้าเวปหาคนขายดาวน์ แล้วก็นัดไปเปลี่ยนชื่อใบจองที่โครงการเลย สมมติซื้อต่อจากชื่อคุณเอนะคะ อย่างแรกเลยเราถูกเก็บเงินค่าดำเนินการเอกสาร 20,000 บาท (หรือค่าเปลี่ยนชื่อนั้นเอง โดยเราเป็นคนออก แต่ในใบเสร็จจะระบุชื่อผู้จ่ายป็นชื่อคุณเอเท่านั้น เพราะในสัญญาเป็นชื่อคุณเอด้วย) จากนั้นก็จะออกสัญญาจะซื้อจะขายอันใหม่โดยมีชื่อเราเป็นคู่สัญญา
** หลังจากซื้อต่อดาวน์แล้ว เพิ่งมาหาข้อมูลการซื้อคอนโด พบว่ามีทำพลาดไป เช่น
1. ไม่ได้เช็ครายละเอียดเรื่องการผ่อนดาวน์ระหว่างคุณเอกับคอนโด มาพบทีหลังว่าคุณเอมีปิดบังตัวเลขกับเรา อันนี้พลาดเองด้วยไม่รู้ว่าถามกันได้ T T กลัวเสียมารยาท จริงๆ ต้องถามให้แน่ชัด ว่าจ่ายไปแล้วเท่าไร บวกจากราคาเดิมเท่าไร มีค้างค่างวดไหม ซึ่งของเราคุณเอค้าง 4 งวด เราก็จ่ายเพิ่ม ยกเว้นงวดสุดท้ายที่เป็นก้อนใหญ่ ซึ่งทางเซลบอกว่า ให้เอาเข้าแบงค์ได้เลย
2. ตามแบบสัญญามาตรฐานของกรมที่ดิน ไม่ได้กำหนดให้มีการเก็บค่าเปลี่ยนชื่อในสัญญาจะซื้อจะขาย หรือค่าดำเนินการเอกสาร หรือจะเรียกว่าค่าอะไรก็แล้วแต่ อันนี้เราเช็คหลายที่มาก ตั้งแต่กรมที่ดิน บอกว่าผิด เช็คกับทนายบางคน ก็ว่าไม่ผิด ก็งงๆ กันไป
ช่วงรอแบงค์อนุมัติ รอเข้าไปตรวจห้อง ก็ได้เข้าไปอยู่ในกรุ๊ปไลน์ลูกบ้าน ก็เห็นแต่ละห้องค่อนข้างมีปัญหา เราเริ่มหาข้อมูลมากขึ้น (หลังจากเสียรู้เนื่องจากคุณเอหลอกเราบางเรื่อง และเพิ่งรู้ว่าค่าเปลี่ยนชื่อไม่สามารถเรียกเก็บได้แต่จ่ายไปแล้ว (ช่วงนั้นเริ่มนอย) จากนั้นโครงการได้แจ้งให้มาตรวจรับห้อง ก็จ้างมืออาชีพมาตรวจสภาพห้อง ต้องเจอกับพฤติกรรมที่ไม่โอเคกับช่างของโครงการที่เข้ามาดูการตรวจห้อง เราก็พยายามไม่ใส่ใจ ขอให้แก้ไขให้ดีก็พอ เพราะไม่อยากให้พบปัญหาแบบที่เห็นในกรุ๊ปไลน์หรือตามกระทู้ต่างๆ ของดีวีลอปเปอร์รายนี้
ช่วงนั้นเจอเซลก็เร่งแต่จะโอนห้อง ในขณะห้องที่ห้องยังแก้ดีเฟคไม่เสร็จ มีขอให้โอนก่อนด้วยแล้วจะแก้ไขให้แต่เราไม่ยอมโอน จ้างตรวจทั้งหมด 3 ครั้ง เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาหรือถ้าเกิดก็ขอให้น้อยที่สุด อยู่คนเดียวหากมีปัญหาคงแก้ไขลำบาก จะต้องเสียเงินก้อนใหญ่ทั้งที…สรุปว่าจะโอนห้องจนกว่าห้องจะอยู่ในสภาพเรียบร้อย ช่วงนั้นก็มีแก้พวกระบบไฟ กระเบื้องเป็นโพรง ลามิเนตยวบ อ่างน้ำรั่ว ขอบประตูพอง สีลอก อื่นๆ
***ในขั้นตอนนี้หนังสือรายงานการตรวจห้อง หลังจากเขียนแล้ว ให้ฝ่ายคอนโดเซ็นต์รับทราบด้วยนะคะ และระบุปัญหาให้ละเอียด รายงานจากคนจ้างตรวจก็ให้เซ็นต์รับทราบ เพราะในศาลถือหลักฐานเป็นสำคัญ ทางโน้นสามารถอ้างว่าไม่รับรู้ด้วยก็ได้ และขอใบเสร็จจาก บ. ที่จ้างตรวจห้อง เราพลาดที่ไม่ได้ขอ เลยไม่ได้เงินคืนตรงนี้
**ช่วงไปตรวจห้องนี่เป็นอะไรที่ระอาและเบื่อกับการสู้รบตบมือกับเซลและช่างมาก จนเราไม่กล้าเข้าไปคนเดียว ตรวจห้องครั้งแรกห้องก็ยังไม่พร้อม แอบเซ็งเพราะจ้างตรวจมาแต่ละครั้งก็ไม่ใช่ถูกๆ เจอเศษปูนยังเขรอะที่ระเบียง ช่างโครงการที่มาร่วมตรวจพฤติกรรมแย่มากกก… อะไรที่บอกให้แก้ไขก็แถตลอดว่ามันดีอยู่แล้ว แอบมีขำใส่ช่างหน้าแตก..ตอนที่คนตรวจบอกว่าไฟระเบียงไม่ได้ติด ช่างก็ว่ากลับ..จะไม่ติดได้ยังไงพร้อมกดสวิตไฟโชว์ แล้วเดินออกไปจะชี้ไฟที่ระเบียง ปรากฎไม่มีโคมไฟเลยจร้า แถมโดนช่างพูดใส่ คอนโดราคา2ล้านกว่าก็ได้แบบนี้หล่ะ! ครั้งที่ 2 คนที่มาตรวจห้องเป็นคนละคนกับครั้งแรก ก็โดนโวยวายต่อว่าว่าห้ามเปลี่ยนคนตรวจ แต่เราไม่ยอมเพราะดีเฟคอย่างกระเบื้องห้องน้ำเป็นโพรง ลามิเนตยวบ มันต้องแก้ไขจริงๆ ปิดท้ายด้วยขอให้โอนห้องก่อน แต่ก็ไม่ยอม
จากนั้นได้รับแจ้งให้เข้าไปเซ็นต์สัญญาจะซื้อจะขายฉบับใหม่ พบว่าเนื้อหาบางส่วนเปลี่ยน เช่น วันที่โอน ตอนนั้นลูกบ้านหลายคนมีปัญหาเรื่องสัญญาเยอะมากทำให้ระวังกับเรื่องนี้ สรุปว่ายังไม่เซ็นต์สัญญา เพราะไม่รู้ว่ามันจะมีผลอะไรหรือไม่ จึงฝากเซลแจ้ง บ. ให้เปลี่ยนรายละเอียดสัญญากลับมาเหมือนเดิม แต่ไม่มีฟีดแบคอะไรกลับมาเลยว่าได้หรือไม่ได้ ตอนนั้นที่คิดว่าเอาไว้คือถ้าไม่เปลี่ยนวันที่กลับมาเหมือนเดิม ก็กะว่าแก้ไขห้องเสร็จแล้วค่อยเซ็นต์แล้วก็นัดโอนไปพร้อมกันเลยก่อน เรื่องกู้เงินก็ผ่านรอไว้แล้ว วันนั้นได้เข้าไปดูห้อง เห็นช่างกำลังแก้ไขผนังร้าวน้ำซึมเข้าห้องด้วย แอบเซ็ง แต่ก็ดีกว่าอยู่ไปแล้วมีปัญหา
ต่อมา ได้รับจดหมายจากบริษัทให้ไปเซ็นต์สัญญาจะซื้อจะขาย ไม่เช่นนั้นจะบอกเลิกสัญญา ยึดเงินดาวน์ และห้องชุด ทำให้เรารู้สึกไม่โอเค ที่ผ่านมาเราอดทนกับช่างกับเซลมาโดยตลอด เพื่อให้แก้ห้องให้ มันผิดไหมที่อยากได้ห้องที่แก้ไขเรียบร้อยก่อนโอน เข้าไปดูห้องแต่ละทีก็มีแต่ความไม่เรียบร้อย แถมช่างโครงการยังบอกอีก คอนโดราคา 2 ล้านกว่า ก็ได้แบบนี้หล่ะ! จึงได้โทรเข้า บ. ได้คุยกับฝ่ายกฎหมาย ว่าไม่ได้ที่จะไม่เซ็นต์แต่มีเรื่องการเปลี่ยนรายละเอียดสัญญาที่รอคำตอบอยู่ และได้คอมเพลนห้องชุดที่งานไม่เรียบร้อย ค่าเปลี่ยนชื่อที่ผิดตามพรบ.อาคารชุดของกรมที่ดิน และส่วนกลางที่มีปัญหา ว่าน่าที่จะแก้ปัญหาพวกนี้ให้ดีก่อนมาบังคับลูกค้าโอนห้อง
แต่ในที่สุดก็เข้าไปเซ็นต์สัญญาจะซื้อจะขาย แต่ก็ยังรู้สึกไม่โอเคอยู่ ที่เข้าไปเซ็นต์เพราะกลัวโดนยึดเงินต่างๆ และได้ไปทำนิติกรรมกับธนาคารพร้อมระบุวันนัดโอนห้อง ระหว่างนั้นก็นัดเซลไปโอนห้อง โดยจะยอมโอนก่อนแล้วค่อยแก้ไขบางอย่างทีหลัง (ไม่เช่นนั้นจะพลาดโปรฯ ดอกเบี้ยจากแบงค์) แต่เซลล์แจ้งว่าทางโครงการไม่โอนห้องให้ เนื่องจากสร้างห้องให้ตามความพอใจของลูกค้าไม่ได้
เราจึงส่งหนังสือทวงถามไปยังโครงการ (แบบลงทะเบียน) และแจ้ง สคบ. ก็มีนัดไกล่เกลี่ย 2 ครั้ง ทางโครงการยืนยันว่าไม่โอนให้ และหายเงียบไป ระหว่างนั้นลูกบ้านท่านอื่นๆ ก็จัดประชุมจี้ให้โครงการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งห้องชุดของแต่ละคน และปัญหาส่วนกลาง หลังจากไม่คืบหน้าได้มีการร้องเรียนผ่านสื่อมวลชนด้วย เคสเราได้ไกล่เกลี่ยที่สคบ. 2 ครั้งก็ยังไม่ลงตัว เลยให้สคบ.ดำเนินการให้ จนมารู้ที่หลังว่าโครงการเอาห้องเราไปขายต่อ แล้ววว..ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิด สคบ. เลยจะทำเรื่องฟ้องให้ ซึ่งกว่าจะถึงคิวใช้เวลานานมาก เราจึงตัดสินใจดำเนินการเอง หาทนายฟ้องเอง
ตอนนี้ดูๆ แล้ว คิดว่าโชคดีมากที่ไม่ได้คอนโดที่นั่น หรือคอนโดที่นั่นอาจไม่ได้เลือกเราก็ได้ เพราะมีอยู่วันนึงที่ลางานไปตามเรื่องที่ สคบ. พอเสร็จ ไม่มีอะไรทำ ก็นึกถึงคอนโดที่เห็นโฆษณาในเฟส เลยเข้าไปดูแต่ก็ไม่ได้ชอบอะไร แต่ดันไปถูกใจคอนโดอีกที่ละแวกนั้น..และไม่นานก็ทำเรื่องซื้อขายกันเลย..
ที่มา : ~*~SweEted~*~