บางครั้งที่เราเปิดไฟในห้อง แสงไฟที่ได้ก็อาจจะสว่างเกินไปจนมากเกินความจำเป็น จะดีแค่ไหนกันนะหากเราสามารถปรับความสว่างของหลอดไฟและเปลี่ยนสีในห้องได้ดังใจนึก เช่น ต้องการแสงสว่างเพียง 40% เพื่อการดูทีวีให้ได้อารมณ์เหมือนโรงภาพยนต์ หรือต้องการแสงสว่างเพียง 10% ในช่วงเวลาที่เรานอนเล่นมือถือก่อนนอน
ด้วยเหตุดังกล่าว ทางบริษัท Philips จึงได้ทำการออกแบบหลอดไฟ LED แบบพิเศษ “LED SceneSwitch – Brightness Change” หลอดไฟที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งานในห้อง เพราะสามารถปรับลดความสว่างของหลอดไฟได้ตามความต้องการของเราในแต่ละช่วงเวลาของวัน
เรามาดูรายละเอียดของหลอดไฟ LED SceneSwitch – Brightness Change กันก่อนเลยครับ
คุณสมบัติพิเศษของหลอดไฟชนิดนี้ จะทำให้เราสามารถปรับความสว่างได้ถึง 3 ระดับในหลอดเดียว คือ 100% 40% และ 10% ตามความต้องการของเรา
ส่วนวิธีการใช้งานก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงแค่เปิดและปิดสวิตซ์ดั้งเดิม(ไม่ต้องเปลี่ยนใหม่)ก็จะทำให้แสงสว่างถูกปรับลดระดับลงมาทีละขั้น การติดตั้งก็ง่ายแสนง่าย เพราะสามารถใช้กับโคมไฟเดิมที่ใช้กับหลอดประหยัด หรือ หลอดไส้ อยู่แล้วได้ โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนโคม
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเปิดครั้งแรก เราจะได้ความสว่าง 100% ทำให้เราสามารถทำกิจกรรมต่างๆ เช่น อ่านหนังสือ หรือนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ ได้อย่างสะดวกสบาย และเมื่อทำการกดปิดสวิตซ์และเปิดใหม่อีกครั้ง เราก็จะได้ความสว่าง 40% ซึ่งเป็นความสว่างที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เหมาะสำหรับเอาไว้นั่งดูทีวี หรือนั่งเล่นเกมส์ในห้อง และหากกดปิดและเปิดใหม่อีกครั้ง เราก็จะได้ความสว่างอยู่ที่ 10% เป็นความสว่างที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนสบายๆ ยังพอมีแสงให้เห็นสิ่งต่างๆ ในห้องได้
มาดูภาพตัวอย่างการใช้งานของหลอดไฟที่ปรับได้ 3 ระดับกันเลยครับ
เริ่มจากแบบ Warm White ให้ความรู้สึกแบบอบอุ่นกับไฟสีส้ม
ภาพที่ 1 ความสว่างแบบ 100%
เหมาะสำหรับอ่านหนังสือ เล่นคอมพิวเตอร์ และกิจกรรมทั่วไป
ภาพที่ 2 ความสว่างแบบ 40%
เหมาะสำหรับกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น เล่นเกมส์ ดูทีวี หรือจัดปาร์ตี้งานสังสรรค์
ภาพที่ 2 ความสว่างแบบ 10%
เหมาะสำหรับช่วงเวลาก่อนนอนที่เรามักจะเล่นโทรศัพท์หรือแท็ปเล็ต พอมีแสงไฟให้มองเห็นสิ่งต่างๆ ในห้องได้
ภาพเปรียบเทียบความสว่างทั้ง 3 ระดับ
ถัดมาเป็นแบบ Cool Day Light แสงสีขาวแบบแสงธรรมชาติ
ถ่ายภาพตรงโต๊ะทำงานมุมเดิม เพื่อให้เห็นความแตกต่างจากของเดิม และสีของหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่พอผ่านกล้องกล้วจะเป็นสีอมฟ้าเล็กน้อย
ภาพที่ 1 ความสว่างแบบ 100%
เหมาะสำหรับอ่านหนังสือ เล่นคอมพิวเตอร์ และกิจกรรมทั่วไป
ภาพที่ 2 ความสว่างแบบ 40%
เหมาะสำหรับกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น เล่นเกมส์ ดูทีวี หรือจัดปาร์ตี้งานสังสรรค์
ภาพที่ 2 ความสว่างแบบ 10%
เหมาะสำหรับช่วงเวลาก่อนนอนที่เรามักจะเล่นโทรศัพท์หรือแท็ปเล็ต พอมีแสงไฟให้มองเห็นสิ่งต่างๆ ในห้องได้
ภาพเปรียบเทียบความสว่างทั้ง 3 ระดับ
ทีนี้ลองดูในส่วนของการเปรียบเทียบทั้ง 3 ระดับ ของแบบ Warm White และ Cool Day Light จะได้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
นอกจากการปรับลดระดับความสว่างที่ตอบสนองการใช้งานในรูปแบบต่างๆ แล้ว ยังมีผลพลอยได้คือ ช่วยประหยัดไฟฟ้าจากการลดความสว่างอีกด้วย เรามาดูกันว่าเราจะใช้พลังงานไฟฟ้าเท่าไหร่ในแต่ละระดับความสว่าง
- 100% => ใช้พลังงาน 9 W ให้ค่าความสว่าง 806 lm
- 40% => ใช้พลังงาน 3.5 W ให้ค่าความสว่าง 320 lm
- 10% => ใช้พลังงาน 1.5 W ให้ค่าความสว่าง 80 lm
นอกจากนี้ทาง Philips ยังได้ออกหลอดไฟมาอีกรุ่นด้วย ซึ่งก็คือ LED SceneSwitch 2 in 1 Bulb
หลอดไฟ LED SceneSwitch 2 in 1 Bulb มีคุณสมบัติพิเศษก็คือ สามารถเปลี่ยนโทนสีแบบ 2 in 1 ได้ในหลอดเดียว คือ เป็นได้ทั้งแสงอบอุ่น Warm White และแสงขาว Cool Day Light ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนอารมณ์ของเราได้อย่างง่ายๆ
วิธีการใช้งานก็เหมือนกับหลอดไฟแบบแรก ก็คือ เพียงแค่เปิด ปิด สวิทซ์ตัวเดิมในบ้าน หลอดไฟ LED แบบ 2 in 1 ก็จะเปลี่ยนจากสีขาว Cool Day White ให้กลายเป็นสีเหลือง Warm White ได้
เรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรมแบบใหม่ที่มีแนวคิดง่ายๆ แต่ผลลัพธ์นั้นมีประโยชน์ต่อผู้อยู่อาศัยบ้านเป็นอย่างยิ่ง แถมการติดตั้งก็ง่ายเพราะไม่จำเป็นต้องเดินสายไฟใหม่ให้ยุ่งยาก
ผลิตภัณฑ์ดีๆ แบบนี้ ในบ้าน ขอสนับสนุนให้เพื่อนๆ ชาวเว็บได้ลองใช้กันดูครับ รับรองว่าห้องของเราจะต้องน่าอยู่ขึ้นอย่างแน่นอน ^_^
รายละเอียดเพิ่มเติม www.lighting.philips.co.th