โรงภาพยนต์ในบ้าน หรือที่เรียกกันว่า “โฮมเธียร์เตอร์” ย่อมเป็นความฝันของใครหลายๆคน มาในวันนี้ คุณแมงกุ๊ดจี่สีแพลททินัม สมาชิกเว็บไซต์ Pantip.com ได้เนรมิตสตูดิโอกึ่งโรงหนังในบ้านของตัวเอง จากห้องนอนโล่งๆ กลายมาเป็นห้องโรงหนัง ที่มีทั้งความเป็นส่วนตัวและได้อารมณ์สำหรับการชมภาพยนต์เต็มๆ
ลองไปชมทีละขั้นกันเลยครับ ว่าเค้าทำได้ยังไง เห็นแล้วน่าอิจฉามากๆเลยล่ะ
เนรมิตบ้าน ให้กลายเป็น “สตูดิโอกึ่งโรงหนัง!!”
(โดยคุณแมงกุ๊ดจี่สีแพลททินัม สมาชิกเว็บไซต์ Pantip.com)
โจทย์ของการทำห้องนี้ก็คือ
1. มันจะต้องกันเสียงได้ ต่อให้ผมทำอะไรบึ้มบั้มกระหึ่มไปสามบ้านแปดบ้านตอนตี 3-4 ข้างบ้านจะต้องไม่ได้ยิน
2. อคูสติคจะต้องดี เอาง่ายๆคือฟังเพลงแล้วเพราะ ดูหนังแล้วโอเค ไม่ก้องเกินไป ไม่ดิบเกินไป เอาให้ได้เหมือนเวลาเราไปมิกซ์เสียงหนังในสตูดิโอครับ
3. งบห้ามเกิน 2.5 แสน เพราะผมต้องเอาเงินไปซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติมด้วย
มาดูห้องก่อนเริ่มก่อสร้างนะครับ
ห้อง master bedroom โล่งๆ โล้นๆเลยครับ มีประตู 2 ด้านขวามือ เป็นประตูเข้าห้องน้ำหนึ่งด้าน ผมจะก่อปิดไปเลยครับ
อันนี้อีกด้านนึง จริงๆวิวสวยนะครับ เห็นสวนสาธารณะ แอบเสียดายวิว แต่อยากได้โรงหนังมากกว่า 555
เจ้าของบริษัทกับทีมงานมาถึง ขนอุปกรณ์ Death Star เข้าบ้านเลยครับ ตกใจมาก มันคืออะไรวะ!? มันคืออุปกรณ์วัดค่าเสียงของห้องครับ วัดออกมาแล้วห้องนี้ปัญหาเสียงก้องเยอะมาก และเก็บเสียงแทบไม่ได้เลย เสียงออกตามประตูหน้าต่างและเพดานเยอะมาก ผมตัดสินใจไม่เอาหน้าต่างไว้เลยครับ (ถึงได้เสียดายวิวไง) ก่อปิดไปเลย ยังไงห้องนี้ก็ฉายโปรเจ็คเตอร์เป็นหลักอยู่แล้ว มันต้องคุมแสงได้ 100% ครับ ห้ามมีอะไรลอดเข้ามา แล้วก็ก่อปิดประตูห้องน้ำไป ประตูกระจก ถอดออก ก่อปิดครึ่งนึง เหลือระเบียงไว้ครับ เผื่อลูกค้ามาดูหนังแล้วเครียดอยากออกไปสูบบุหรี่ที่ระเบียงก็ไปได้ 555555 (วงการหนังสูบจัดกันทั้งนั้นแหละครับ สูบกันเป็นโรงสีเลย)
เริ่มงานครับ ช่างจัดการรื้อวงกบประตูหน้าต่างออกทั้งหมด เอาประตูห้องน้ำออก แล้วก็ก่อปิดครับ
หลังจากก่อปิดแล้ว ดีไซน์เนอร์จัดการเอาไม้เฌอร่ามาปิดตกแต่ง ให้เข้ากับดีไซน์บ้านของเดิมครับ แต่ยังไม่ได้ติดประตู ประตูเป็นประตูกันเสียงอย่างหนา แบบที่ใช้ในสตูดิโอครับ
ตอนนี้ข้างนอกบ้านจะเป็นแบบนี้นะครับ ไม่เหลือหน้าต่างแล้ว เหลือแต่ตรงมุมที่ผมเก็บไว้บานหนึ่งของห้องคอนโทรลครับ ห้องคอนโทรลผมจะเอาเครื่องเสียงที่ไม่ต้องการโชว์ไปวางไว้ในนั้น แล้วไลน์สายลำโพงเข้าไปในโซนที่นั่งชมครับ
รูปนี้คือแบ่งโซนกันครับ จะกั้นเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือส่วนที่เป็นโรงหนัง อีกส่วนคือห้องคอนโทรล ก็จะอารมณ์คล้ายๆโรงหนังจริงๆที่มีโซนที่คนนั่ง กับโซนของเครื่องฉาย ห้ามคนเข้าไปแหละครับ
เนื่องจากเสียงออกทางเพดานมาก เลยต้องเสริมเพดานเข้าไปอีก 4 ชั้นพร้อมฉนวนกันเสียงครับ ในรูปคือกำลังขึ้นโครง
ในรูปคือท่อร้อยสายลำโพงครับ เยอะมากๆ เยอะจนช่างยังงงว่าอะไรกันหนา 5555 คืองี้ครับ ระบบเสียงที่ใช้คือ 9.1 Channel ลำโพงเลยเยอะครับ พอลำโพงเยอะ สายมันก็เยอะ นี่ยังไม่คิดจะอัพไป Dolby Atmos นะครับ รอให้มันนิ่งก่อนค่อยว่ากัน ช่างร้อยสายแล้วโยงเข้าผนังครับ เพื่อความเรียบร้อยสวยงาม
พอร้อยสายเสร็จ ก็เริ่มใส่ฉนวนกันเสียงครับ เป็นฉนวนใยหิน จริงๆผมไม่อยากใช้ครับ สงสารช่าง แต่มันถูกสุดแล้ว T_T
ใส่ฉนวนเสร็จก็ปิดผนังทับอีกชั้นครับ จะเห็นว่าสายระโยงระยางทีเดียว ทำโฮมเธียเตอร์ต้องทำตั้งแต่เริ่มตกแต่งแล้วจะดีครับ เก็บงานง่ายกว่ามาทำทีหลัง
เสร็จแล้วก็ทาสีครับ ปกติเค่าใช้สีแดงกันนะ ห้องดูหนัง แต่ผมว่ามันร้อนแรงไป อยากให้มันชิลๆมากกว่า เพราะทำงานในนี้ครับ เลยเลือกสีนี้ เข้าธีมกับส่วนอื่นๆของบ้านด้วย (ยังแตกแต่งไม่เสร็จนะครับ เสร็จแล้วอาจจะมาตั้งกระทู้อีกรอบ)
โซนนี้ทาสีดำครับ เพราะเป็นโซนของจอภาพ เดี๋ยวจะเอาลำโพงซ่อนไว้ข้างหลังครับ ทำเหมือนโรงหนังจริงๆที่เอาลำโพงซ่อนไว้ข้างหลังจอภาพเช่นกันครับ ผมไม่เอาลำโพงมาวางข้างนอกครับ ไม่ชอบความรู้สึกของเครื่องเสียงวางเต็มข้างหน้าจอเหมือนนิตยสารเครื่องเสียง ผมว่ารกครับ ไม่สวย
มาต่อกันที่งานพื้นครับ ผมยกพื้นสโลป 2 เสต็ป เวลานั่งดูหนังจะได้ไม่บังกัน แล้วเอาโต๊ะที่จะนั่งทำงานไว้บนสุด เหมือนสตูดิโอที่มิกซ์เสียงนะครับ ใต้พื้นผมก็โยงสาย HDMI ไว้ ต่อจากคอมพิวเตอร์บนโต๊ะ เข้าไปที่ห้องคอนโทรล เวลาจะพรีวิวงานที่กำลังทำอยู่ก็ยิงขึ้นจอหนังได้เลยครับ
นอกเหนือจากพื้นแล้ว บนเพดานยังไม่จบนะครับ ที่เห็นในภาพเรียกว่า Sound Absorber ครับ มีหน้าที่ซับเสียง ปรับอคูสติคห้องให้เสียงดีครับ มีติดที่ผนังอีกชุดนึงด้วย เดี๋ยวจะเห็นในรูปข้างล่างนะครับ
ทำสโลปเสร็จแล้วครับ
ทีนี้ก็มาถึงงานแสงไฟ ติดขาตั้งลำโพง เห็นตรงผนังข้างๆมั้ยครับ 2 ด้านเลย เป็น Sound Absorber อีกชุดนึงครับ
ทีนี้มาถึงงานปูพรมแล้วครับ พรมสีเดียวกับผนังด้านหลังเลย (ช่างแซวว่าเหมือนสนามกอล์ฟ 555) เปิดไฟแล้วก็ เอ้ออออ เป็นโรงหนังขึ้นมาแล้วววว
ติดแอร์ครับ เป็นแอร์ตัวเก่าที่ย้ายมาจากบ้านเดิมที่ลาดพร้าว มันเงียบดีครับ ผมเลยเอามาใช้ในห้องนี้
ทีนี้เริ่มติดลำโพงกันละครับ นับเอาเองว่ากี่ตัว บนเพดานด้วยนะครับ เป็นลำโพง Front Hight เพิ่มมิติทางด้านสูงครับ นี่ยังไม่เสร็จนะครับ เดี๋ยวต้องเก็บบัวอะไรกันอีกมากมาย
พาแวะห้องคอนโทรลนิดนึงครับ สายเยอะๆที่โยงกันเหมือนชุมสายโทรศัพท์จะมาลงที่นี่ครับ เป็นห้องที่ติดตั้งอุปกรณ์แอมป์อะไรต่างๆ ที่ผมไม่อยากจะโชว์ข้างนอกครับ วางกันบนชั้นไปเลย ผมไม่เน้นชั้นหรูครับ เพราะมันไม่มีเสียงอะไรมาทำให้มันสะเทือนอยู่แล้วครับ ไม่เหมือนห้องที่เอาเครื่องไปวางไว้ข้างหน้า อันนั้นก็ต้องจ่ายค่าชั้นวางหรูๆกันไป
อันนี้โซนด้านหลังครับ ติดลำโพง Surround และโปรเจ็คเตอร์แล้ว
โซนข้างหลังเสร็จแล้ว ผมรีบย้ายของมาลง เอาโต๊ะมาวาง เอาโซฟามาตั้งเลยครับ ต้องรีบทำงานไปด้วยครับ ไม่เสร็จช่างมัน พอพรีวิวอะไรได้ก็ยังดีครับ
แล้วก็มาทำโซนด้านหน้ากันครับ ติดลำโพงอะไรกันเรียบร้อยไปแล้ว ก็ขึ้นโครงไม้สำหรับจอภาพครับ งานนี้ต้องแม่นเป๊ะกันมากๆ คำนวนแล้วคำนวนอีกว่าขนาดมันจะต้องเท่าไหร่กับระยะของเครื่องฉาย ช่างก็งงผมอีกแล้วครับว่าพี่ทำอัลลัยของพี่เนี้ยยยยยย (จริงๆช่างทีมไหนมาก็ถามว่านี่มันห้องอะไร 5555)
จะจบแล้วครับ หลังจากติดจอภาพเสร็จ ก็ถึงคราวที่เราจะมาโฟกัสกันที่การ Calibrate ภาพ-เสียง ครับ ทำไมต้อง Calibrate เพราะว่าห้องแต่ละห้องมีขนาดไม่เท่ากัน เสียงที่ออกมาก็ไม่เหมือนกัน การ Calibrate จะช่วยชดเชยให้ภาพและเสียงออกมาเหมือนกับต้นฉบับของสตูดิโอบันทึกเสียงมากที่สุดครับ อันนี้งานละเอียดมาก Sound Engineer มาเองถึง 2 คนพร้อมอุปกรณ์และซอฟท์แวร์วัดกันทีละจุด ทีละลำโพงไปเลย เอาให้เป๊ะที่สุดเท่าที่จะทำได้
ผลออกมาคือ Sound Engineer ปลื้มมากครับ เขาบอกว่ามันออกมาดีเกินคาดเพราะผมให้ช่างยกพื้นสโลป เวทีเสียงกว้างเหมือนเราดูในโรงหนังแบบเป๊ะๆ และการเอาลำโพงวางไว้หลังจอมันมีข้อดีคือเราไม่รู้สึกว่ามันมีลำโพง มันเหมือนเสียงออกจากปากของของตัวละครบนจอเลยครับ ปลื้มทั้งเจ้าของและผู้รับเหมา (มีการชมด้วยนะว่างานนี้ Audiophile มีงง เพราะลำโพงผมไม่ได้แพงเลย แกล้งยอกันเล่นป่าวไม่รู้ 5555)
เสร็จแล้ว…… หน้าตาเป็นแบบนี้ครับ
เอนจอยมากครับ ผมพูดเลย ทั้งดูหนังและฟังเพลง ขอบคุณที่ติดตามนะครับ จบละครับ