บ้านบางหลังอาจจะมีลักษณะการตกแต่งที่แตกต่างกันระหว่างภายนอกและภายใน ยกตัวอย่างเช่น ตัวบ้านภายนอกดูเป็นทรงไทยดั้งเดิม แต่พื้นที่ภายในกลับมาการตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นสุดหรู ซึ่งก็จะให้อารมณ์ที่ไม่น่าเบื่อจำเจ เป็นลูกเล่นที่ทำให้บ้านดูโดดเด่นไม่เหมือนใคร
วันนี้ ในบ้าน ก็จะพาชาวเว็บไปชมรีวิว บ้านที่ภายนอกดูโมเเดิร์น แต่แต่ภายในตกแต่งโทนสีหวานราวกับบ้านขนม ของคุณ taljang กันครับ ภายนอกดูเหมือนบ้านโมเดิร์น – ร่วมสมัย ธรรมดาๆ แต่เมื่อเข้าไปภายในก็จะพบกับการตกแต่งที่สดใสน่ารัก ชนิดท่เรียกได้ว่าน่ามองทุกมุม ลองมาชมกันดูครับ
Review : พาไปชม บ้านที่ภายนอกดูโมเดิร์น แต่ภายในตกแต่งโทนสีหวานเหมือนบ้านขนม
(โดย taljang)
ขอเปิดด้วยห้องที่ชอบที่สุดในบ้านก่อนค่ะ
ตอนแรกเรียกว่าครัวฝรั่ง เพราะตั้งใจจะมีทั้ง เตาไฟฟ้า เตาอบ Hood และ ซิงค์ล้างแก้วตรงนี้ แต่สุดท้ายงบหมด+เกินความจำเป็นเลยเหลือเท่านี้ค่ะ
ที่มาที่ไปของบ้านหลังนี้
คือ เมื่อปี 2551 เกิดน้ำท่วมใหญ่ทั่วกรุงเทพฯ บ้านตาลซึ่งอยู่ย่านรามอินทรา ก็โดนผลกระทบไปด้วย น้ำท่วมถนนไม่พอ น้ำท่วมเข้ามาในบ้าน และ บ้านเดิมนั้นเป็นบ้านชั้นเดียว ข้าวของต่างๆ ยกยังงัยก็ยกไม่พ้นน้ำ เสียหายไปหลายอย่าง มีเพียงแค่ เครื่องใช้ไฟฟ้าบางอย่างที่ขนไปฝากเพื่อนบ้านที่เค้าทุบหลังเก่า แล้วสร้างใหม่ 2 ชั้น ไปก่อนหน้าแล้ว
บ้านหลังเดิมอยู่อาศัยมาเกือบ 30 ปี
จริงๆ ตัวบ้านก็ยังอยู่อาศัยได้ แต่ไม่อยากให้คุณแม่เครียดเวลาฝนตกแล้วน้ำท่วม จึงตัดสินใจ ทุบบ้านเก่าทิ้ง และสร้างบ้านหลังใหม่บนที่ดินเดิม บ้านตาลพื้นที่อาจจะไม่เยอะนะคะ 56 ตารางวา(สำหรับบ้านเดี่ยว) ก็พยายามหาแบบบ้านใน internet และนำมาปรับให้เข้ากับครอบครัวเรา และที่สำคัญคือ พื้นชั้นล่างของบ้านจะต้องสูงกว่าถนน (เพื่อหนีน้ำท่วม) เลยได้ความสูงอยู่ที่ 1.5 เมตรจากพื้นถนน ตอนทุบบ้านก็ใจหายเหมือนกัน อยู่มาตั้งนาน
เมื่อได้แบบบ้านมา
สิ่งแรกที่ตาลทำคือ สำรวจ ขนาดของโต๊ะ ตู้ เตียงและ เฟอร์นิเจอร์ ต่างๆ ที่รอดชีวิตจากน้ำท่วม หลังจากนั้นก็เอาอุปกรณ์เครื่องเขียน ไม้บรรทัดแบบมีสเกลให้ตรงกับในแบบ และลองวางตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ลงไปในแบบ ทำให้เราทราบตำแหน่งที่ เต้ารับไฟฟ้า เต้ารับโทรศัพท์ และ เต้ารับทีวี ได้อย่างคร่าวๆ (บ้านตาลทั้งบ้านมีเต้ารับไฟฟ้าอยู่ประมาณ 80 แห่งเลยค่ะ) ตำแหน่งไหนเราตั้งใจทำเคาน์เตอร์ก็ไม่ลืมระบุตำแหน่งเอาไว้ เมื่อได้แบบแล้วก็ยื่นขออนุญาต จากทางเขต เมื่อได้รับการอนุมัติก็เริ่มยื่นกู้จากสหกรณ์ที่บริษัทฯ เป็นหนี้เรียบร้อย……. ก็เริ่มสร้างได้เลยค่า
สิ่งหนึ่งที่ตาลรู้สึกว่า โชคดี คือ ได้เช่าบ้านหลังติดกันเลย ทำให้เราสามารถควบคุมคุณภาพของงานก่อสร้าง และสามารถปรับแบบได้ทันท่วงที เช่น เพิ่มนี้นิด ลดนี้หน่อย เจาะเพิ่มตรงนี้ด้วย เราสามารถบอกทางผู้ควบคุมงานได้เลย อุปกรณ์หลักๆ ใช้ของทางผู้รับเหมา แต่พวกกระเบื้องห้องน้ำ สุขภัณฑ์ โคมไฟ และ หลอดไฟ หินแกรนิต ตาลวิ่งซื้อเอง รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ด้วย
ช่วงปีที่แล้ว เดินทั้งงานแฟร์ที่เมืองทอง บุญถาวร โฮมโปร อินเด็กซ์ SB CDC ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แถมซื้อหนังสือตกแต่งบ้านของเมืองนอกหลายเล่มมาก เพื่อหาไอเดีย เพราะตาลถือว่า ไหนๆ สร้างบ้านใหม่แล้วก็อยากมีบ้านแบบที่ฝันบ้าง แต่ระหว่างนั้น ก็มีการเถียงกันบ้างระหว่างคนภายในครอบครัว เพราะตาลยังอาศัยอยู่กับ พ่อแม่ค่ะ เลยเปรียบเสมือนมีคน 2 รุ่นอยู่ ไม่รู้บ้านคนอื่นเปิดเหมือนกันรึเปล่านะคะ ในสมัยเด็กๆ จนโต บ้านเราที่พ่อแม่ซื้อจะแนวไหน จะมีแต่เฟอร์นิเจอร์ไม้สีน้ำตาลๆ มากมายแค่ไหน เราก็อยู่ได้ แต่พอมาถึงยุคที่เราสามารถหาเงินได้ และมีส่วนในการสร้างบ้านหลังนี้ เราก็อยากจะได้บ้านในแบบที่เราใฝ่ฝัน ก็ว่าจะสรุปได้ ก็มีทะเลาะกันไปหลายยกเหมือนกัน ส่วนมากจะเป็นตาลกับแม่ ส่วนพ่อเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ย
เกริ่นมาซะยาว ขอเริ่มเปิดบ้านของตาลเลยนะคะ
ภายนอกบ้านออกแนว Modern พื้นชั้น 1 ยกสูงกว่าถนน 1.5 เมตร ค่ะ
เปิดรั้วบ้านจะมีที่จอดรถ
บ้านตาลจอดได้ 3 คัน คือ 2 คันปกติ อีกคันจอดเอียงๆ ที่พื้นที่ว่างด้านขวาในรูปค่ะ ที่จอดรถปูกระเบื้องและทำกรวดล้าง (มีเพิ่มปลาน้อย 2 ตัวหน้าบ้าน)
เนื่องจากบ้านอยู่สูงจากถนนพอสมควร
ถ้าอยากเห็นหลังคาบ้านต้องขอปีนไปบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วดูเอาค่ะ
บันไดขึ้นบ้าน
เป็นทางเข้าหลัก เดินเข้าไปแล้วจะเจอห้องนั่งเล่นค่ะ
ตรงเสาคุณแม่อยากได้กระเบื้องแนวธรรมชาติแปะเสา
แต่เนื่องจากราคาสูงพอสมควร เลยแปะได้เท่านี้ค่ะ เอาพองาม
มีกระถางปูนและต้นไทรเกาหลีตรงนี้
เพราะรางประตูบ้านอยู่ด้านไหน บวกกับกลัวหลานเดินตกลงไปในราง แถมมันจะดูสบายตาถ้ามองจากห้องนั่งเล่น แล้วเห็นเหมือนกำแพงต้นไม้ เลยตัดสินใจทำแบบนี้ค่ะ
มีบันไดเล็กๆ ขึ้นบ้านตรงนี้
โดยตอนแรกตั้งใจว่า หากมีแขกมานั่งอยู่ในห้องรับแขก ถ้าเรามาแล้วอยากเดินเข้าครัว หรือ ขึ้นบ้าน เราก็สามารถขึ้นได้เลย โดยไม่ต้องไปทักทายแขก ส่วนตู้เก็บรองเท้าจากภาคเหนือรอดชีวิตจากน้ำท่วม เลยจ้างช่างทาสีให้เป็นสีขาว จะได้เข้ากับบ้านใหม่ค่ะ
ด้านขวาของบ้านมีการเพิ่มครัวไทย เป็นตัว L เกาะกับมุมนึงของบ้าน
ก่อนทำต้องขอข้างบ้านให้เรียบร้อยก่อนนะคะ แต่ได้ก่อกำแพงขึ้นมาต่างหาก พร้อมมีการทำรางน้ำฝนในตัว ไม่กระเด็นไปข้างบ้านแน่นอนค่ะ มุมนี้เย็นๆ มานั่งเล่นก็สบายดีนะคะ
ประตูทางเข้า
มีบานเลื่อน พร้อมเหล็กดัด ลายง่ายๆ
ต้นไม้หน้าบ้าน
ซื้อมาก็เอาแบบสูง เลยค่ะ ขี้เกียจรอให้มันโต
พื้นที่สีเขียวข้างบ้าน พร้อมบ่อน้ำ พร้อมที่นั่งพักผ่อนของคุณพ่อ
รอดมาจากน้ำท่วมเช่นเดียวกัน
บ่อน้ำล้น พร้อมน้องกบค่า
ด้านข้างบ้าน
เหลือโอ่งไว้เก็บน้ำยามขาดแคลน
พอเปิดประตูบานเลื่อนเข้ามา ก็จะเจอห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก ห้องเลี้ยงหลาน ห้องดูทีวี
ส่วนมากจะใช้ชีวิตกันแถวนี้ล่ะค่ะ จุดเด่นที่ตั้งใจจะให้เด่นในห้องนี้คือ โคมไฟระย้าค่ะ ตาลไปเดินที่ CDC เห็นร้านนี้แล้วปิ๊งเลย เพราะมันดูแปลก กิ๊บเก๋ดีค่ะ (โคมไฟอันนี้ ถ้าอยากเห็นแบบอื่นๆ ลอง search คำว่า chandelier wrought iron ในอากู๋ด้วยนะคะ) ตอนแรกที่่บ้านเห็นแล้วลมแทบจับ นี่มันโคมอะไรลูก แต่บอกแม่เชื่อหัว ตาล เถอะ พอติดตั้งแล้วแม่ก็โอเค บอกว่าแปลกดี
โซฟาทั้งสองตัว
สีอาจจะตัดกัน แต่ก็ช่วยดึงจุดเด่นของห้องนี้ดีนะคะ
เมื่อวันปีใหม่ มีจัดงานเลี้ยง
เลยเอาโซฟาเบด ที่อยู่อีกห้องมาตั้งเป็นโซฟารับแขกค่ะ
ดอกไม้ประดับบนโต๊ะกลาง หน้าโซฟา
จริงๆ ราคาดอกไม้ปลอมนี้ไม่แพงเท่าไหร่นะคะ เอามาจับใส่หลายๆ กำ และเลือกกระถางดีๆ ก็ดูสวยแนววินเทจดีค่า
เพื่อนบอกว่าไหนๆ ก็มีโคมไฟแล้วอยากถ่ายแบบ ปิดม่าน เปิดโคมไฟไหม ก็เลยจัดไป ได้ออกมาแบบนี้ค่ะ
บริเวณห้องนี้ ตาลจะไม่มีโคม Downlight เลยค่ะ เป็นคนที่ไม่ชอบให้แสงออกมาแบบ Direct Light (ถ้าไม่จำเป็น) จะมีไฟหลืบโดยใช้ไฟฟลูออเรสเซนต์วางแบบสลับกัน โดยมีส่วนที่ทับกัน เพื่อให้แสงที่ออกมาต่อเนื่อง บางบ้านอาจทิ้งช่วง ทำให้แสงเกิดช่องว่าง
แต่เอาเข้าจริงๆ ตาลแทบจะไม่เปิดไฟหลืบหรือ ไฟระย้าเลยค่ะ มีไว้โชว์แขกอย่างเดียว 55
จริงๆ แล้วตาลเรียนจบวิศวกรรมไฟฟ้าค่ะ เลยได้เรียนวิศวกรรมส่องสว่างมาบ้าง
ทำให้ทราบว่า ปกติไฟหลืบแสงที่ออกมานั้นจะออกมาแค่ 20% ของทั้งหมด
และยิ่งตาลไปทาสีฝ้าบริเวณนั้นเป็นสีเทา อีก
แสงออกมาน้อยนิด (แม่บอกว่า เรียนมาไม่เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์เลย)
ก็เลยบอกแม่ไปว่า ทำงัยได้อ่ะคะแม่ ตาลอยากให้มันดูคลาสสิคๆ หน่อย
โคมที่ตาลใช้จริงๆนั้น คือ โคมตั้งพื้นแบบ UPLIGHT ค่ะ
โคมนี้ได้แรงบันดาลใจมากจากตอนไปบริษัทส่งไปเรียนที่ฝรั่งเศส 3 เดือน
ห้องที่โรงแรม ไม่มี downlight สักดวง แต่มีโคม uplight ที่มุมห้อง แค่เปิดก็สว่างแล้ว เลยเอาไอเดียนี้มาใช้กับที่บ้านตัวเองบ้างค่ะ โคมนี้ราคาไม่แพงนะคะ แถมเข้ากับห้องนี้อีกต่างหาก
อันนี้เป็นฝั่งตรงข้ามโซฟาค่ะ จะเป็นทีวี และ ตู้เก็บเสื้อผ้าหลานชายคนเล็ก (หลานอายุ 1 ขวบครึ่งค่ะ) โคม uplight นั้นตาลวางไว้ 2 มุมค่ะ ที่ต้องวางไว้ตรงมุม เพื่อให้แสงที่ออกมา ตกกระทบ ผนังที่เข้ามุมไว้
ทำให้เพิ่มความสว่างๆ ให้กับห้องค่ะ
สรุปคือ โคมหลักของห้องนี้ตาลใช้โคม UPLIGHT ส่วนโคมระย้า และ ไฟหลืบ มีไว้โชว์ค่ะ (เพราะเปิดแล้วคงเปลืองน่าดู)
จริงๆ ตอนที่ออกแบบไว้ตอนแรก จะมีผนังกั้นห้องนี้ให้เป็นสัดส่วน (จะไม่เห็นบันไดขึ้นชั้นสอง)
แต่หม่อมแม่ สั่งการมาว่า ไม่ควรมีผนังนี้มันดูคับแคบ อึดอัด ถ้าทุบออกไปจะเอามุมนี้ไว้เลี้ยงหลานด้วย เลยได้มุมเลี้ยงหลาน (รูปนี้หลังจากยกโซฟาเบดสีน้ำตาลออกไปแล้ว)
อีกสิ่งหนึ่งที่ทะเลาะกับแม่ก็คือ เรื่องสีที่ลูกตั้งของบันไดบ้านค่ะ ตามแบบเป็นไม้และทาแลคเกอร์ใสเคลือบ
(ไม่แน่ใจว่าเรียกว่าอะไรนะคะ แต่คือมันจะเป็นสีน้ำตาลตามสีไม้)
แต่ด้วยความที่ดูนิตยสารเมืองนอกแล้ว ส่วนมากบันไดเค้าจะเป็นสีขาว แล้วมันดูสวยหวานมาก เลยบอกแม่ว่า ตาลขอทาบันไดสีขาวทั้งหมดนะคะแม่ แต่แม่ไม่ยอมค่ะ บอกเสียดายความเป็นไม้หมด ทะเลาะจนต้องไปหาหนังสือมาให้ดูเพื่อให้แม่เห็นภาพว่าบันไดสีขาวมันสวยแค่ไหน
แม่ก็บอกว่า ถ้าเท้าดำ เดินขึ้นไปเหยียบ คงหมดสวยแน่
จนพ่อต้องไกล่เกลี่ย ให้ตาลไปหาทาง ให้พบกันครึ่งทาง เลยออกมาเป็นแบบนี้ค่ะ คือ ตาลขอทาสีขาวแค่ลูกตั้งของบันไดเท่านั้น โดยแอบให้เห็นผลว่า เวลาพ่อแม่เดินจะได้กะจังหวะในการก้าวเท้าถูกงัยคะ (ชักแม่น้ำทั้งห้าค่ะ) แม่เลยยอม
ส่วนห้องเก็บของใต้บันได ตอนแรกประตูบานเล็กกว่านี้ เลยต้องขอผู้รับเหมาแก้ให้เป็นบานใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เลยได้เป็นแบบนี้ ข้างในเก็บของไว้เพียบเลยค่ะ เสาร์อาทิตย์ ต้องคอยมาเปิดให้อากาศระบาย กลัวน้องปลวกมาเล่นงานค่า
เมื่อมองจากห้องนั่งเล่น จะเห็นบันไดใช่ไหมคะ ด้านหลังบันได จะเป็นห้องอยู่ห้องนึงค่ะ
โดยเป็นห้องที่ตั้งใจจะให้ พ่อกับแม่มานอน ในยามที่ท่านขึ้นไปชั้นบนไม่ไหว แต่ตอนนี้ก็เป็นห้องเก็บของ ห้องรีดผ้าไปก่อนค่ะ (ห้องนี้ของเยอะเลยไม่ได้ถ่ายมานะคะ แหะๆ)
คราวนี้พอมองไปทางห้องทานข้าว ก็จะมีตู้หนังสือเล็กๆ และห้องน้ำชั้นล่างค่ะ (มีคนทักว่า ประตูห้องน้ำบานนี้ ตรงกับประตูเข้าบ้าน (ประตูเล็กๆ ที่ขึันจากที่จอดรถ) ตาลเลยย้ายให้ไม่ตรงกัน แถมได้ผนังไว้วางตู้วางหนังสืออีกต่างหาก
บนตู้วางหนังสือ วางตุ๊กตาของสะสมของคุณแม่ไว้ คู่กับ แจกันดอกกุหลาบสีฟ้า และชั้นวางของแนวที่วางคัพเค้ก
แถมรูปภาพแมวที่ระบายเองกับมือ (มันเป็นภาพที่เราระบายสีในช่องตามตัวเลขอ่ะค่ะ ไม่ยาก แต่ต้องอาศัยความอดทนพอควร)
ภาพ Close up ตุ๊กตาคุณแม่
แม่บอกน่ารัก แต่ตาลเคยแซวไปว่า เหมือนเด็กคนข้างหลังจะเอาขวานมาจามเด็กข้างหน้าเลยค่ะแม่ แหะๆ
นาฬิกา กุ๊กไก่นี้ เป็นนาฬิกา 2 ด้าน
เห็นแล้วนึกถึงนาฬิกาตามชานชลารถไฟที่อังกฤษ (เว่อร์ไปนิดนะคะ แหะๆ) สามารถมองเห็นเมื่อนั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่น หรือ มองจากโต๊ะทานข้าว ก็เห็นค่ะ
ด้านล่างมีห้อยป้าย Toilet
เป็นรูปเด็กผู้หญิงชุดแดงนั่งชักโครก เพื่อให้แขกเปิดประตูห้องน้ำถูกต้องค่ะ (กลัวแขกจะไปเปิดห้องนอนพ่อแม่ในอนาคตแทน เพราะอาจเข้าใจผิดได้)
และแล้วก็มาถึงห้องที่ชอบที่สุดในบ้านค่ะ ห้องทานอาหาร หรือ ชื่อเดิม ห้องครัวฝรั่ง
ห้องนี้ตามแบบเดิม มีผนังกั้นระหว่างโต๊ะทั้งสองตัวค่ะ แต่ตาลไม่เอาเพราะอยากได้ห้องใหญ่ๆ สามารถเดินทะลุกันได้เลย ไม่ต้องคอยเปิดประตู สีห้องนี้ ตาลใช้ TOA Shield ONE เบอร์ 7506 ค่ะ สีจะออกฟ้าอมเขียวนะคะ(จริงๆ ในชาร์ตที่ร้าน เค้าจะมีโทนนี้หลายระดับความเข้มสีเลยค่ะ ลองไปเลือกตามใจชอบได้เลยนะคะ)
บางท่านอาจสงสัยว่า มีโต๊ะทานข้าวทำไมตั้ง 2 ตัว
คืองี้ค่ะ ด้วยความที่แต่เดิมตั้งใจจะให้เป็นครัวฝรั่ง ตาลเลยฝันอยากจะมีห้องครัวแนวหวานๆ และต้องมี Island ตรงกลางด้วย แต่พอสร้างบ้านไปเรื่อยๆ ๆ งบเริ่มบาน ตามชื่อ บ้าน … เลยต้องตัดใจจาก Island ตรงกลาง และเคาน์เตอร์ครัว จากเดิมตั้งใจจะให้เป็นตัว L ก็เลยเหลือเป็นแค่ ตัว I ตามที่เห็นค่ะ
แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ตาลได้เห็นร้านๆ นึงจัดงานลดราคาประจำปี ตาลเลยได้ไปดูเฟอร์นิเจอร์ที่ร้านนั้น สอยมาหลายอย่างเลยค่ะ ก่อนออกจากร้าน เหลือบไปเห็นโต๊ะไม้สีน้ำตาล ดูความสูงแล้วพอเอามาประยุกต์เป็น Island ได้ แต่เค้าขายรวมเก้าอี้สีเขียว 4 ตัวด้วย ตอนแรกจะขอเอาแต่โต๊ะ แต่ทราบราคาแล้ว เหมือนซื้อโต๊ะแถมเก้าอี้ เลยเอามาหมด ตามความตั้งใจที่จะเอาโต๊ะไม้สีน้ำตาลไปวางตรงหน้าเคาน์เตอร์ แต่หลังจากวางแล้ว ไม่work เลยต้องสลับกันอย่างที่เห็นนี่ล่ะค่ะ เพราะพื้นที่ตรงหน้าเคาน์เตอร์นั้น มากกว่า อีกโซนนึง โต๊ะทานข้าวเลยต้องมาอยู่ตรงนี้แทน ส่วนโต๊ะนั้น ปัจจุบัน เอาไว้วางของกับเอาไว้ใช้ทานเวลามีแขกมาบ้านเยอะๆ ค่า
ตอนแรกโคมไฟห้อยตรงนี้ ตาลซื้อมาเป็นสีโคมทรงเดียวกัน
แต่เป็นสีแดง แต่พอมาห้อยแล้ว โดนทางบ้านสั่งปลดค่ะ (จริงๆ ตาลชอบน้า ออกแนว Cath Kidston ดีออก แต่ต้องฟังความคิดเห็นคนอื่นบ้าง)
อารมณ์ประมาณนี้ค่ะ
ที่มุมห้อง มีตู้เย็น 1 ตู้เอาไว้ใส่น้ำดื่ม ไอศครีม และผลไม้ค่ะ
โคมระย้านี้ก็ราคาไม่แพงมากค่ะ ซื้อจาก IN____ แต่เหมือนเดิมค่ะ คือ ไม่ได้เปิด เพราะจะมีโคม UPLIGHT ตั้งอยู่ข้างๆ ถ้าจะเปิดก็ปิด โคมนั้นค่ะ เพื่อการประหยัดค่าไฟ แหะๆ
ภาพถ่ายจากโต๊ะทานข้าวประจำค่ะ
ปกติก็ทานอาหารไทย ส้มตำ ขนมจีน กับข้าวไทยๆ ล่ะค่ะ แต่อย่างที่บอกวันนี้เป็นวันถ่ายภาพ เลยขอทานเค้กแทนนะคะ
ชอบที่วางเค้กอันนี้มาก
บังเอิญไปเจอที่งานแฟร์ที่เมืองทอง
บนโต๊ะอีกตัวค่ะ
ตอนกินข้าวจริงๆ ไม่มีดอกไม้กลางโต๊ะหรอกนะคะ เพราะอาหารบ้านเรามันต้องตักจากจานกลาง ไม่เหมือนฝรั่งที่เขา ทานกันจานใครจานมัน
เคาน์เตอร์ครัวใช้บริการ IN___ ค่ะ แต่ไม่เอา ซิงค์ และท๊อปหิน เพราะสู้ราคาหินสังเคราะห์ไม่ไหว
แต่อยากได้ TOP สีขาว เลยต้องไปสอยของบุญ___ มาแทน แต่รุ่นนี้เค้าบอกว่า ถ้ามีดปัก หรือขีดข่วนอาจเป็นรอยได้ และถ้าพวกซีอิ๊วหก อาจซึมได้ แต่ด้วยความที่ เปลี่ยนวัตถุประสงค์การใช้งานจากเคาน์เตอร์ครัวเป็น ตู้ที่เอาไว้เก็บของ วางของ และล้างแก้ว เลยสามารถใช้หินตัวนี้ได้
แต่ก็ต้องขยันเช็ดคราบต่างๆ น่าดูค่ะ (ถ้าใครมีงบแนะนำ หินสังเคราะห์ไปเลยค่า)
สำหรับหมุดจับตู้ลิ้นชัก หรือ หน้าบาน จริงๆ เค้ามีมาให้ในเซตนะคะ แต่พอดีตอนตาลไปฝรั่งเศสเห็นเค้ามีขายแบบเป็นสีๆ ด้วย (แต่ตัวเองดันซื้อสีขาวมา หน้าบานก็สีขาวแล้วเดี๋ยวจะกลืนกัน อยากได้แบบสีๆ จะเอามาระบายเองก็กลัวว่าจะงามเกิน 55) เลยพยายามหาซื้อในเมืองไทย พยายามหาอยู่นาน เพราะไม่รู้ว่าจะให้คำอะไรในการ search สุดท้ายใช้คำว่า ที่ดึงลิ้นชัก เลยได้รู้ว่ามีร้านๆ นึงที่ขายพวกนี้ตรงตามสเปคที่อยากได้ อยู่ที่จตุจักรโซนแอนทีค เลยไปซื้อ จริงๆ มีทั้งแบบที่ทำจาก กระเบื้อง และ แบบตุ่มแก้ว แต่เลือกแบบกระเบื้องมาเพราะน่าจะเข้ากับที่บ้านมากกว่า
แถมไปเจอ ตุ่มจับเป็นรูปนก สีเขียว กับ สีเหลืองอีก เลยซื้อมาอย่างละคู่ มาใส่ที่จับหน้าบานของตู้ลอย
ตอนออกแบบตาลพยายามเลือกแบบบานเปิดและให้เป็นชั้นวางของเอา Option ไม่ต้อง (ยิ่งเยอะยิ่งแพง)
แต่ขอมีลิ้นชักไว้อันนึง เอาไว้ใส่ช้อนส้อมแบบแยกเก็บเป็นช่องๆ ตอนแรกเค้าใช้แบบที่เรียกว่า soft close หรืออะไรซักอย่าง เลยถามไปว่า ถ้าแบบธรรมดา ต่างกันเยอะไหม พอเห็นราคาเลยบอกว่าเอาแบบธรรมดาพอค่ะ (แต่จำไม่ได้ว่าต่างกันเท่าไหร่) แต่อย่างนึงที่ตาลพลาดคือ ความสูงของตู้ลอย ตาลให้เค้ายกขึ้นไปสูงเกิน จนมือเอื้อมไม่ถึง ต้องขึ้นบันได เพื่อไปเอาของชั้นบนๆ แต่อย่างว่าค่ะ ไอ้ของที่อยู่บนนั้น นานๆ ทีหยิบ เลยไม่กังวลเท่าไหร
ช่องนี้ ได้ไอเดียมาจากหนังสือค่ะ
คือ ด้านนอกตาลออกแบบให้เป็นครัวไทย อีกด้านของผนัง จะมีหม้อหุงข้าว ไมโครเวฟ และฝาอบลมร้อนวางอยู่ค่ะ ตาลก็อาศัยช่องนี้ล่ะค่ะ ที่ตักข้าวเสร็จ ก็ไม่ต้องเดินอ้อมไปเข้าประตูเพื่อเอาจานมาวางบนโต๊ะ ก็ยื่นผ่านช่องนี้ได้เลย และประโยชน์อีกอย่างคือ เวลาคุณแม่ทำกับข้าวอยู่ ก็สามารถมองเห็นว่าใครมาบ้านได้ หรือให้ความรู้สึกของความมีส่วนร่วมระหว่างคนที่อยู่ในครัวทำอาหาร กับคนที่ทานอาหารบนโต๊ะค่ะ
เมื่อมองออกไปจากโต๊ะอาหาร จะมีประตูเพื่อเดินออกไปในส่วนของครัวไทยค่ะ
เลยจัดการห้อยป้าย Close กับ Open เอาไว้ ให้อารมณ์ประมาณว่า ตอนนี้ครัวเปิดอยู่จ้า หรือ ตอนนี้ครัวปิดแล้วนะคะ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ค้างอยู่ที่ Open ซะส่วนมาก นอกจากบางวันคึกมาเปลี่ยน
มุมซิงค์ล้างแก้ว กับที่ใส่น้ำยาล้างจาน
ประยุกต์มาจากขวดยาสระผมที่ใช้หมดไปแล้วค่า
อ้อ อีกอย่างที่รู้สึกว่าตัวเองพลาดไป
คือบริเวณซิงค์ล้างแก้ว ตาลควรสั่งหินมาติดตรงขอบ เพื่อกันน้ำกระเด็นไปโดนผนังตรงนี้ เวลาล้างแก้วค่ะ (ตาลพยายามนึกถึง เรื่องพวกนี้จะได้บอกถึงปัญหาที่พบเจอ เพื่อเป็นไอเดียในการออกแบบให้เพื่อนๆ นะคะ)
อีกไอเดีย ที่จะให้คือ ตู้ครอบเมนไฟฟ้าค่ะ
เนื่องจากประสบการณ์น้ำท่วม ทำให้ทราบว่า ถ้าแบ่งเมนไฟฟ้าเป็นชั้นบนกับชั้นล่าง หากน้ำท่วมชั้นล่างเราก็ ยก breaker ชั้นล่างซะ แล้วเราสามารถใช้ชีวิตบนบ้านชั้นบนได้โดยมีไฟฟ้าใช้อยู่ แต่ๆๆๆๆๆ ตำแหน่งของตู้ consumer unit ดันมาอยู่ในห้องทานข้าวแสนสวยของตาลค่ะ จะให้ย้ายไปอยู่ห้องใต้บันไดก็ไม่ได้ เพราะเค้าเดินสายหมดแล้ว จะให้เค้า Build in ตู้เพื่อมาครอบก็ใช่ที่ ระหว่างที่กลุ้ม ก็ต้องมีเหตุไปเดินโฮม___ เพื่อซื้อของมาให้ช่าง ระหว่างเดินๆ อยู่ก็เจอตู้ใบนี้ค่ะ เป็นตู้แขวนดูๆ ไปขนาดก็ใกล้เคียง ราคาไม่แรง เลยเดินลงไปที่แผนกตู้ consumer unit ของ Bti___ (ที่ซื้อมาก่อนแล้ว) แล้วขอขนาดกับพนักงานตรงนั้นเลย
พอได้ขนาดมา ก็โอ้ว ว้าว ตู้แขวนใบเมื่อกี้ครอบได้พอดีเลย เลยสอยมาซะ 2 ตัวค่ะ ตาลให้ช่างเจาะช่องขนาดใหญ่กว่า ตู้ consumer unit เล็กน้อย แล้วก็ทำการแขวนครอบ ออกมาได้เนียน หากไฟมีปัญหา ก็สามารถยกตู้แขวนนี้ออกได้เลยล่ะค่า หุหุ ห้องทานข้าวแสนสวยของตาลก็กลับมางามดังเดิม
เปิดฝามาก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ
ข้อเสียอย่างเดียวคือ มันไม่มีโช้ก ถ้าเราไม่เอามือยกไว้มันก็จะตกลงมาอยู่เรื่อย (แต่คงไม่ค่อยได้ยก เลยไม่แคร์ค่ะ) ด้านบน แอบวางภาพสมัยเด็ก ตอนน้ำท่วม กรุงเทพปี 2526 ไว้เป็นที่ระลึก (ปีนั้นว่าหนักแล้ว ปี 51 หนักกว่าเยอะเลย)
เมื่อเปิดประตูห้องทานอาหาร
จะเจอเครื่องซักผ้า โดยมีชั้นวางของด้านบน เอาไว้ใส่น้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม เวลาใช้งานจะได้หยิบสะดวกค่ะ
ชั้นวางของก็ IN___ แต่ปัญหาที่ตาลเจอคือ พลาสติกที่หุ้มชั้นเหล็กที่เป็นเส้นๆ ตะแกรงๆ อ่ะค่ะ เมื่อเจอกับคราบน้ำยาเวลาที่เราปิดฝา หลังจากใช้แล้วอาจมี น้ำยาไหลออกมาจากขวด เมื่อเจอกับพลาสติกแล้วไม่รวดค่ะ มันกัดจนพลาสติกหลุดร่อน เห็นเหล็กข้างใน วิธีที่ตาลแนะนำคือ เอาแผ่นรองจาน มารองข้างล่าง (ซื้อจากร้าน 20 บาทก็ได้ค่ะ) จะช่วยยืดอายุการใช้งานได้ค่ะ พัดลมเพดาน เอาไว้เปิดเวลายืนล้างจานค่ะ สะดวกไม่เกะกะพื้นที่ดี เพราะพื้นที่ตรงนี้น้อยค่ะ
เมื่อมองไปทางขวา ก็จะเห็นครัวไทย ที่เป็นที่ประกอบอาหารหลักของครอบครัวตาลค่ะ
ห้องครัวไทยนี้ ตาลปูกระเบื้องจนถึงฝ้าเพดานเพื่อความง่ายต่อการทำความสะอาดค่ะ เนื่องจากต้องใช้กระเบื้องเยอะ เพื่อเป็นการประหยัดตาลเลือกกระเบื้องที่ราคาไม่แพง แต่ดูดีค่ะ เอาสีขาวเข้าว่า เพราะเวลาสกปกรกเราจะได้ทำความสะอาดได้ทันที
ตรงนี้ มีตู้แช่ 1 ตู้ และตู้เย็นที่เอาไว้เก็บ ผัก กับ เนื้อสัตว์ที่ใช้ในการประกอบอาหารค่ะ
ตรงเคาน์เตอร์ครัว ไม่ได้ใช้บริการเจ้าไหนเป็นพิเศษค่ะ ให้ช่างที่สร้างบ้านก่อให้ค่ะ ก่อเป็นตัว L แล้วซื้อหน้าบานของ KI__ มาใส่ค่ะ โดยตาลใช้ทั้ง
- หน้าบานคู่ : ใต้ซิงค์ล้างจาน – เอาไว้เก็บของต่างๆ เช่น หม้อไหกระทะ ตรงนี่ไม่ได้ให้เค้าก่อชั้นวางเลยเก็บแบบตามใจฉัน
- หน้าบานเดี่ยว : เอาไว้ใส่เครื่องปรุง ตาลมักจะเอาเครื่องปรุงใส่ในตะกร้า จากร้าน 20 บาทค่ะ
เพราะเวลาทำความสะอาดก็ยกทั้งตะกร้าได้เลย ไม่ต้องยกทีละขวด - หน้าบานถัง GAS : จุดนี้ต้องดูดีๆ นะคะ เวลาให้ช่างใส่หน้าบาน เพราะ หน้าบานควรจะชิดกับพื้น เพราะเค้าออกแบบมาเพื่อ
ให้เราสามารถลากถัง GAS ได้เลย โดยระดับด้านบนของหน้าบานถัง GAS จะเท่ากับ บานอื่นๆ แต่ด้านล่างจะอยู่ติดพื้นค่ะ - ลิ้นชัก 3 ชั้น : เอาไว้ใส่ถังพลาสติก หนังยาง และเก็บของอื่นๆ ค่ะ
อ้อ ลืมบอกไปเวลาก่อเคาน์เตอร์ครัวไทย บริเวณที่เป็นประตูบานเปิดให้เค้าทำพื้นยกขึ้นมาให้เท่ากับด้านล่างของบานประตูนะคะ
เพราะเวลาทำความสะอาดจะง่ายกว่า สามารถกวาดออกมาได้เลย ไม่งั้นทำความสะอาดยากมากค่ะ
ลายกระเบื้องตรงนี้ อยากให้สดใส ไปเดินบุญ____ พอเห็นลายนี้แล้วแทบกรี๊ด มันช่างสดใส แต่แม่ทักว่ามันจะดูเด็กไปรึเปล่า ก็เลยบอกแม่ไปว่า เวลาแม่ทำอาหารจะได้สดชื่นงัยคะแม่ (ชักแม่น้ำอีกแล้ว)
และอยากมี โมเสคเป็นเส้นตัดขอบเลย เอามาใช้ในส่วนตัดขอบกับหน้าเตา GAS บางท่านอาจคิดว่า โมเสคมันมีร่องเยอะ ถ้าทำกับคราบแล้วน้ำมันกระเด็นไปโดนจะทำความสะอาดยากนะ ตาลก็พยายามคิด solution เอาไว้ ตอนแรกว่าจะหาอะไรที่ทนความร้อนได้ แต่ต้องมีความใส เพราะอยากโชว์โมเสค คิดไปถึง แผ่นอะคริลิก แต่ท่าจะแพง จะเอาแผ่นที่ขายตามร้าน 20 บาท ก็ดันไม่โปร่งใส ไปเดินแผนกครัว ที่เซ็นทรัลแถวบ้าน ไปเจอ พลาสติกใสของญี่ปุ่น (มี 3 ชั้นในแผ่นเดียว) แต่ราคาเกือบ 500 แต่ก็ยอม เพราะมันเช็ดทำความสะอาดง่ายกว่า
บริเวณครัวไทย ตาลติดที่แขวน ที่คว่ำจาน คว่ำเขียง ไว้กับราวแขวน
ข้อดีของมันคือ ทำให้เราสามารถทำความสะอาดเคาน์เตอร์ครัวได้ง่าย
ตาลใช้หินดำแอฟริกาค่ะ ที่คว่ำจาน แนะนำรุ่นที่มีถาดรองน้ำข้างล่างนะคะ น้ำที่หยดจากจานที่คว่ำจะได้ไม่หกเลอะเทอะ เราสามารถดึงถาดข้างล่าง ไปเทน้ำได้ค่ะ เตาGas ใช้แบบหน้ากระจกสีดำ เพื่อความรู้สึกไฮโซนิดนึง ข้อควรระวังคือ การเจาะหินต้องให้ได้ขนาดตามที่หน้าเตากำหนด ไม่งั้นเวลาวางแล้ว แผ่นกระจกจะไม่มีพื้นที่วางบนหินแกรนิตเพียงพอค่ะ
ช่องเจาะที่ทะลุมา จากห้องทานข้าว ส่งข้าวส่งน้ำจากตรงนี้ได้เลยค่ะ
ที่วางนี่มา อยู่มาตั้งแต่บ้านเก่า 25 ปีแล้ว ผ่านน้ำท่วมมาได้ ใจจริงอยากได้ใหม่ (แต่เอาแบบเดิม) แต่หาซื้อรุ่นแบบนี้ไม่ได้แล้ว มีแต่แบบสแตนเลสสีเงินๆ ไม่เข้ากับส่วนอื่น เลยใช้อันเก่าไปก่อนค่ะ
ห้องสุดท้ายของชั้น 1 คือ ห้องน้ำค่ะ
กระเบื้องห้องนี้ คุณแม่เลือกค่ะ ออกแนวหรูหรา คลาสิก หน่อยๆ ไปดูแบบจาก บุญ___ แล้วจิ้มเอาเลยค่ะ แบ่งเป็นโซนเปียก กับ โซนแห้ง แต่ไม่มีประตูกระจก หรือ ม่านพลาสติกกั้นนะคะ อาศัย ขยันถูกเอา เพราะห้องข้างล่างค่อนข้างแคบ โดยตาลเอา อ่างล้างหน้า ชักโครก และโซนอาบน้ำ เรียงกันเลย ไฟในห้องน้ำ ใช้ หลอด LED ที่ให้ลำแสงออกมาคล้ายๆ หลอด ฮาโลเจน (แม่บอกว่าอยากได้อารมณ์เหมือนห้องน้ำโรงแรม)
สิ่งที่สำคัญที่สุดในห้องน้ำคือ กระเบื้องพื้นค่ะ ขอให้หยาบเข้าว่านะคะ เวลาเปียกจะได้ไม่ลื่น (แต่ส่วนที่แพงของห้องน้ำนี้ คือ กรุยเชิงผนังค่ะ แถมวิ่งรอบห้องอีกต่างหาก ToT)
อีกส่วนนึงที่ตาลคิดว่ามีประโยชน์ คือ ที่จับพยุงตัวข้างชักโครกค่ะ (อันนี้ เผื่อพ่อแม่ในยามที่นั่งยาก ลุกยากนะคะ) แต่ตาลไม่แน่ใจในการติดว่า ติดแนวไหน เลยลองนั่ง ลองวางแขนอยู่ ก็เลยออกมาแนวนี้ (ซึ่งไม่รู้ถูกรึเปล่า)
กระจก
ที่ตัดใจถอยมาจาก Chic ____ เพื่อให้เข้ากับความไฮโซของห้องน้ำคุณแม่ ในห้องน้ำ ตาลติดเต้ารับไฟฟ้า ชนิดกันน้ำไว้ด้วยนะคะ เอาไว้เผื่อ ไดร์ผม (แต่ตั้งแต่ติดมายังไม่ได้ใช้เลย)
ด้านล่างอ่างล้างหน้า ตาลไม่ได้ให้เค้าก่อเป็นตู้หรือ ติดหน้าบานค่ะ อาจดูโล่งๆ ไปหน่อย แต่ทำความสะอาดง่ายดี
รูปภาพติดหลังชักโครก
เพื่อไม่ให้มันโล่งเกินไป
ขึ้นบ้านชั้นบนกันนะคะ
ก่อนขึ้น ขอมองย้อนลงไปที่ห้องนั่งเล่นอีกสักที อิอิ
บันได เป็นบันไดไม้แดงค่ะ ตรงโถงบันไดนี้ตาลไม่ได้ติดโคมระย้า เพราะตาลทำชั้นลอย ทำให้เพดานเตี้ยค่ะ
โคมที่ติดได้เลยเป็นโคมหลอดฟลูออเรสเซนต์กลม ธรรมดาๆ แต่เลือกแบบที่หน้าโคมขุ่นๆ เพราะเวลามองขึ้นมา มันจะได้ไม่ Glare (ไม่มีแสงแยงตา) ไฟดวงนี้ใช้ สวิทซ์ 2 ทางนะคะ จะได้ เปิด-ปิดได้สะดวก ทั้งจากชั้นบน และ ชั้นล่าง
ชั้น 2 เป็นไม้ค่ะ เพราะแม่ชอบความรู้สึกเวลาเหยียบไม้ แม่บอก ให้ความรู้สึกเป็นบ้านดีค่ะ
แต่ชั้นล่างต้องเป็นหินเพราะกลัวว่าน้ำจะท่วมอีกรอบ ตรงนี้เป็นส่วน กลางใช้ในการแต่งตัว ออกมาจากห้องน้ำก็เจอเลย อาจไม่ค่อยดูเป็นส่วนตัว แต่ก็ช่วย save พื้นที่ใช้งานดีนะคะ สิ่งนึง ถ้าทุกท่านสังเกต คือ ตาลจะบ้าซื้อตะกร้าร้าน 20 บาทมากค่ะ ตาลชอบเก็บของแบ่งเป็นประเภท แล้วแยกใส่ลงในตะกร้าพวกนี้ ถ้ามันจะรก ก็รกในตะกร้านี่ล่ะค่ะ แหะๆ ชั้นไม้เข้ามุม รอดมาจากน้ำท่วม (ทนมาก) ก็ยังนำมาใช้ได้อยู่นะคะ
ดอกไม้ปลอมที่วางไว้เพิ่มความสดชื่นของบ้าน
แถมไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย ลงทุนครั้งเดียวใช้ได้ตลอด (นานๆทีเอามาทำความสะอาดบ้าง)
หลังจากขึ้นบันไดมาแล้ว
ผู้รับเหมาแนะนำค่ะว่า อยากทำชั้นลอย ไว้สำหรับทำหิ้งพระ และโต๊ะหมู่บูชาไหม เค้าพาไปดูบ้านที่เค้าทำมาก่อน ก็ถูกใจค่ะ ที่บ้านมีมติ เพิ่มเติมในส่วนตรงนี้ เพราะแต่เดิม วางท่านไว้บนตู้เสื้อผ้า ประกอบกับบ้านพื้นที่ไม่เยอะ ถ้าแบ่งห้องเป็นห้องพระอีกเกรงว่าจะไม่พอ เลยได้ชั้นลอยแบบนี้ค่ะ
โต๊ะหมู่ ที่ได้มาจากร้านที่ CDC ค่ะ
และสิ่งที่ชอบอีกอย่างคือ เทียนดอกบัวที่อยู่ในแก้วค่ะ อันนี้ก็ได้มาจากงานแฟร์ที่เมืองทอง (งานเดียวกับที่ได้ที่วางเค้กอ่ะค่ะ) เหมือนเรามีดอกไม้ให้ท่านอยู่ตลอด ตาลชอบนะคะ พวกดอกไม้ไม่ว่าจะทำจากเทียน สบู่ หรือ ดินญี่ปุ่น (เวลาเดินงาน OTOP ลองมองหาดูนะคะ)
ต่อมาเป็นห้องนอนคุณพ่อคุณแม่นะคะ เป็นห้องที่มีระเบียงชั้น 2 ค่ะ
ห้องนี้แบ่งเป็น 2 ห้องย่อย คือ ห้องนอน และอีกห้องคล้ายๆ จะเป็น walkin-closet สำหรับห้องนี้ แม่บอก แม่จัดเองค่ะ อะไรอยู่ตรงไหน
ห้องคุณพ่อคุณแม่ เน้นเฟอร์นิเจอร์ที่มีอยู่เดิมค่ะ เรียบๆ แต่ตาลไปสอย ผ้าปูที่นอนลายดอกมาคลุมให้ดูหวานแหววหน่อยค่ะ และติดพัดลมแขวน ด้านข้างค่ะ
ห้องนี้ติด downlight 4 ดวง แต่ไม่ค่อยได้เปิดหรอกค่ะ (เปลืองไฟเหมือนเดิม) ตาลก็เอาโคม Uplight มาใช้แทนเหมือนเดิมค่ะ มาวางตรงไว้ตรงหัวเตียง ซึ่งก็เพียงพอค่ะ เพราะห้องนอนเป็นห้องที่ไม่ได้ต้องการไฟส่องสว่างขนาด 500 lux เหมือนห้องทำงาน เวลานอนดูทีวี ก็เปิดแค่ดวงนี้ ทำให้ห้องไม่มืดเกิน แต่ก็ไม่ถึงกับแสบตา เวลานอนดูทีวีค่ะ
ฝั่งตรงข้ามเป็นทีวีค่ะ
ที่วางทีวีตอนแรกตั้งใจจะให้เป็น Island เล็กๆ เอาไว้ให้แม่เตรียมอาหารในห้องครัว แต่แม่ไม่เอาค่ะ เลยแปลงร่างมาเป็นที่วางทีวีแนวคันทรี่แทน
ส่วนช่องข้างๆ ด้านขวาจริงๆ แล้วประตูบานเลื่อนเพื่อไปห้องเก็บเสื้อผ้าค่ะ
(ในรูปมีคุณแม่นั่งอยู่แต่ไม่อยากออกสื่อ เลยขอเอาสีดำมาระบายนะคะ)
ห้องเก็บเสื้อผ้า และ ข้าวของ สมบัติเก่า อัดไว้ในห้องนี้ค่ะ
ห้องนี้ตาลวัดความกว้างยาวของห้อง แล้วไปหาซื้อตู้เสื้อผ้าตามร้านห้องแถวทั่วๆไป มาต่อกัน 3 ตู้ เรียงกัน ดูๆ ไปก็เหมือน build-in เหมือนกันค่ะ แต่ประหยัดกว่า และป้องกันฝุ่นได้มากกว่าด้วยค่ะ (ด้านบนเก็บกระเป๋าเดินทางไว้เพียบเลยค่ะ แหะๆ )
ห้องนี้จะกินพื้นที่ห้องนอนมาประมาณ 1 เมตร เพราะตาลอยากให้ตู้วางได้ทั้ง 2 ฝั่ง โดยมีตรงกลางเอาไว้เดิน เวลาคำนวณ ต้องเผื่อวงสวิงของหน้าบานด้วยนะคะ ว่าเปิดได้เต็มที่หรือไม่ แต่ถ้าตู้เป็นบานสไลด์ก็ตัดปัญหานี้ได้ค่ะ บานตรงกลางจริงๆ เป็นกระจกแต่ฝั่งตรงข้ามไม่ค่อยงาม (เดี๋ยวไม่ตรงคอนเซปบ้านสวย เลยขอระบายเป็นสีดำค่า)
ห้องต่อมาเป็นห้องน้ำค่ะ ห้องนี้ตาลเป็นฝ่ายเลือกกระเบื้องค่ะ
จริงๆ แล้วตามแบบชั้นบนมีห้องน้ำ 2 ห้องค่ะ แต่ตาลลดจำนวนลงเหลือห้องเดียว เลยขอแบบใหญ่ๆ หน่อย และอยากมีกระจกกั้นเป็นส่วนเปียกกับส่วนแห้ง ตอนที่บอกพ่อกับแม่ว่า จะเอาแบบมีบานกระจก ที่บ้านไม่ยอมค่ะ เพราะไม่คุ้น และเค้าจะรู้สึกว่ามีอะไรมาบล็อคเค้าไว้เวลาอาบ เลยบอกไปว่า ไม่ต้องห่วงค่ะ เดี๋ยวตาลทำห้องอาบน้ำให้ใหญ่ๆ ไปเลย ตอนแรกตาลก็ทำเป็นห้องอาบน้ำสี่เหลี่ยมค่ะ แต่พอวางไปแล้ว รู้สึกมันสูญเสียพื้นที่เกินไปหน่อย เลยไปศึกษาฉากกั้นอาบน้ำว่า มีแบบเข้ามุมหรือไม่ ปรากฏว่ามีค่ะ ทำมุมกัน 135 องศา เลยต้องปรับแบบหน่อย
กระเบื้องห้องน้ำนี้ ตาลอยากให้แตกต่างจากห้องน้ำข้างล่าง ด้วยความที่เป็นคนชอบอะไรเป็นแถบๆ เส้นตรงๆ เลยเลือกกระเบื้องรุ่นนี้มาค่ะ กรุงเชิงผนัง อันนี้เป็นแบบเส้นอลูมิเนียมค่ะ ทำให้ดูทันสมัยหน่อย
Rainshower แบบที่ใฝ่ฝัน (เหมือนตามโรงแรม รีสอร์ท) แต่ด้านล่างต้องมีก็อกไว้สำหรับรองน้ำในถัง (เพราะผู้ใหญ่ไม่ชอบอาบจากฝักบัวค่ะ ท่านชอบตักอาบมากกว่า)
เนื่องจากเน้นแนวขาว-ดำ-เทา ในห้องนี้ เลยได้กระเบื้องหลายแนวไปหน่อย คนที่มาบ้าน บางคนก็ชอบห้องน้ำแม่(ชั้นล่าง) บางคนก็ชอบห้องน้ำตาล (ชั้นบน) (เวลาใครบอกว่าห้องน้ำแม่สวยกว่า แม่แอบภูมิใจเสมอเลย 55) ข้อเสียของ กระเบื้องพื้นในห้องอาบน้ำคือ ตาลเลือกเป็นสีดำ พออาบน้ำแล้วมีคราบสบู่ ถ้าไม่เช็ดล้าง ขัดถู มันเหลือเป็นคราบสบู่ (เหมือนเป็นตราบาปที่พื้นค่ะ เศร้า) จากภาพอาจพอเห็นอยู่นะคะ ว่าจะหาอะไรมากัด แล้วเคลือบ ก็กลัวว่า จากเดิมที่มันสากๆ เท้าไม่ลื่น จะกลายเป็นลื่นไป (ใครมีข้อแนะนำในส่วนนี้บ้างคะ ตาลจนปัญญาจริงๆ ค่า)
อีกไอเดีย สำหรับห้องน้ำคือ ช่องเจาะสำหรับวาง ขวดแชมพู และ ครีมต่างๆ ค่ะ
เนื่องจากในส่วนของห้องน้ำ ทางช่างจะก่อผนัง 2 ชั้นอยู่แล้ว เพื่อเดินงานระบบและท่อทางต่างๆ เลยให้เค้าเว้นช่อง ไว้เพื่อทำตรงนี้ไว้ด้วยค่ะ จริงๆ อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ สำหรับการเจาะช่อง แต่ตาลไปเห็นรูปในเวปต่างประเทศ เค้าทำช่องเจาะนี้ให้เหมือนเป็นกรอบรูปอันนึง โดยมีขอบที่เป็นเหมือนกรุยเชิงผนังมาเดินรอบๆ ด้วย แต่ด้วยความที่ส่วนมากกรุงเชิงจะแนว หรูหรา ไม่เข้ากับห้องน้ำห้องนี้ เลยประยุกต์เอา โมเสคราคาประหยัดมาแปะแทน (ใจจริง อยากให้ตำแหน่งที่วางอยู่สูงกว่านี้ แต่ติดที่ด้านบนมีหน้าต่าง เพื่อระบายอากาศอยู่ เลยได้เท่านี้ค่ะ)
พอเค้าทำเสร็จ ตาลเลยลองเอาขวดไปวาง ปรากฏว่าช่องใหญ่เกิน เลยไปหาซื้อชั้นวางของ ที่ส่วนมากเค้าจะเอาไว้วางใต้กระจก มาใส่แทน ก็ทำให้เพิ่มพื้นที่ใส่ของได้อีกชั้น (เอาไว้ใส่อะไรที่ขวดไม่สูงมากนัก)
ส่วนอ่างล้างหน้า ก็เหมือนกับห้องน้ำชั้นล่างค่ะ
กระจกเรียบๆ ทุกอย่างเลยจืดไปหน่อย แหะๆ
ส่วนสุดท้าย และเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด คือ กระเบื้องพื้นห้องน้ำค่ะ
ด้วยความที่ไปเห็นตัวอย่างห้องน้ำ แล้วเค้าใช้รุ่นนี้ปูพื้น เห็นแล้วนึกถึงห้องน้ำฝรั่งเศส เลยจัดมา คนขายบอกว่า มันอาจจะลื่นนะคะพี่ ด้วยความลองลูบๆ คลำๆ แล้ว พบว่า มันมีร่องๆ สากๆ คงไม่เป็นไร เลยตอบไปว่า ไม่เป็นไรค่ะน้อง เดี๋ยวพี่เอาไปใช้ส่วนแห้ง คงไม่เป็นไร ที่ไหนได้ เช้าวันนึง ตาลเดินเข้าห้องน้ำด้วยความสะลึมสะลือ ไม่รู้ใคร เดินเท้าเปียกๆ ออกมา
ตาลไม่ทันสังเกต สักพัก โครม สรุป ตาลลื่นในห้องน้ำ ด้วยกระเบื้องที่ตาลเลือกเอง ได้ไปโรงพยาบาลเลยค่ะ หลังจากนั้น เลยต้องกำชับ ทุกคนว่า อย่าลืมเช็ดเท้าก่อนออกมา แล้วเวลาเดินต้องมีสติ (จะให้ทุบกระเบื้องทิ้งก็เสียดายอยู่ ใช้ไปก่อน) ดังนั้น ทุกท่านคะ ความสากของพื้นห้องน้ำจำเป็นมากๆ ค่ะ อย่าเน้นที่ความสวยอย่างเดียวนะคะ
ตรงชักโครกก็ติดราวพยุงตัวเช่นเดิม (ในห้องอาบน้ำ ส่วนเปียกตาลติดราวพยุงตัวแบบตรงๆ ด้วยค่ะ เพราะบางทีผู้ใหญ่นั่งอาบ จะให้ลุกขึ้นมาอาจจะยาก ถ้ามีราวนี้ ก็จะช่วยได้ค่ะ ตอนซื้ออย่าลืมเช็คน้ำหนักที่รับได้ด้วยนะคะ)
มีบ้านเพื่อนคุณแม่ ซึ่งท่านเป็นหมอ ท่านคิดไกลขนาดที่ว่า ห้องน้ำชั้นล่าง ประตูต้องกว้างพอให้รถเข็น เข็นเข้าไปได้ ตรงประตูต้องมี slope ให้รถเข็นผ่าน เลยล่ะค่ะ
ห้องขนาด 3 x 4 เมตรค่ะ
พี่สะใภ้ ใช้เฟอร์ของ Win____ นะคะ เป็นเซตเลยค่ะ เตียงนอน ตู้ลิ้นชัก (ปัจจุบันเอาไว้วางทีวี) และตู้เสื้อผ้าแบบ 3 บานเปิด พอดี เฟอร์ก็ขาว ห้องก็ขาว เลยขาวไปหมดเลยค่ะ
แต่สิ่งนึงที่มาช่วยห้องนี้ได้ก็คือ บัวเชิงผนังค่ะ ตอนแรกไม่มีแต่พอติดแล้วทำให้ห้องดูหวานขึ้นนะคะ (รูปล่างสุด แต่เห็นไม่ค่อยชัดล่ะค่ะ) ทุกห้องเลือกเป็นสีงาช้างหมดเลยค่ะ ยกเว้นห้องนอนตาลเป็นสีขาวค่ะ
ห้องสุดท้าย ก็คือห้องนอนของตาลเองค่ะ
สมบัติเยอะหน่อยนะคะ เป็นพวกชอบซื้อของกระจุกกระจิกค่ะ จากที่ตาลบอกไปว่า ตาลยกพื้นที่ห้องตาลไปเป็นห้อง walkin closet ของคุณแม่ไป 1 เมตร ห้องตาลเลยมีลักษณะ แคบแต่ลึกค่ะ หน้ากว้างส่วนที่นอน จะอยู่ที่ 3 เมตรเท่านั้นค่ะ
ด้วยความที่นอนคนเดียว เลยพยายามหาเตียงนอนที่ไม่กินที่มากนัก แถมอีกด้านก็ตั้งใจจะเอาไว้ดูทีวี (เอาปลั๊กต่างๆ วางไว้ตรงนั้นอยู่แล้ว)
วันนึง เห็นหน้าเวปร้าน ร้านนึงลดราคาประจำกลางปี (รู้สึกเค้าจะมีหน้าร้านอยู่ที่สุขุมวิท) เลยขับรถไปดูแถว บางนา กม.5 (เป็นเหมือน office ของเค้า แต่ก็มีของขายด้วย) พอเห็นเตียงนี้โชว์อยู่ ปิ๊งเลยค่ะ ตรงตามความต้องการทุกอย่าง แถมด้านล่างเป็นลิ้นชักด้วย (จะเก็บที่นอนอีกที่ เผื่อมีคนมานอนที่ห้อง หรือ เอาไว้เก็บของก็ได้) มีลวดลายแกะสลักสวยงาม ถูกใจตาลมาก เลยตกลงซื้อเลย เตียงนี้เป็นตัวโชว์ค่ะ เฟอร์นิเจอร์ทั้งหลายตาลซื้อตัวโชว์มาค่ะ ถ้ามีนะคะ เพราะราคาจะลดลงอย่างมาก
มันอาจไม่ใหม่กิ๊ก แต่มันก็ยังไม่เคยมีใครใช้งานจริงๆจังๆ ช่วยทำให้เราได้ของดีในราคาที่ต่ำกว่าจริงค่ะ (พอเดาออกไหมคะ ว่าตาลชอบตุ๊กตาตัวไหนเอ่ย )
ขอเพิ่มเบอร์สีห้องนอนนะคะ TOA Shield ONE เบอร์ 7378 ค่ะ
เตียงที่เต็มไปด้วย หมี Rilakkuma (เคยโดนแซวว่า ตาลนอนพอเหรอ โชคดีที่ตาลนอนไม่ดิ้นค่ะ ไม่งั้นอาจตกเตียงได้) สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาสำหรับเตียงที่ตาลซื้อมานี้ คือ ฟูกที่นอนของเมืองไทย ใส่ลงไปแล้วเหลือช่องว่างค่ะ ปัญหาน่าจะคล้ายๆ เตียง IKEA ที่จะมีช่องเหลือ ตาลเลยแก้ปัญหาด้วยการ ใส่พวกผ้าห่ม กับหมอนอีสาน (ที่เป็นก้อนๆ สี่เหลี่ยมลงไปที่หัวนอนแทนค่ะ) เพราะยังงัย หมอนกับบรรดาตุ๊กตาก็ปิดมิดอยู่แล้ว 55
บริเวณนี้ ตาลก็จะมีแต่โคมระย้า จาก IN____ ค่ะ ไม่มี downlight เช่นเคย มีเพียงโคม Uplight ที่มุมห้อง แต่โคมนี้ จะมีในส่วนของ Reading Light ด้วยค่ะ เผื่อวันไหนอยากอ่านหนังสือบนเตียง ตรงผนัง ตาลห้อยธงที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Bunting (ถ้าอ่านนิตยสารบ้านของอังกฤษจะเจออยู่บ่อยๆ) แต่ที่ซื้อมาความยาวไม่พอ เลยเอาเท่าที่ได้ แล้วจับปลายผูกโบว์เสียเลย
มองมาฝั่งตรงข้ามบ้าง จะเป็นโต๊ะอ่านหนังสือ ประตูบานเลื่อนด้านขวา ก็จะสามารถเข้าไปสู่ Walk-in Closet ของตาลได้ค่ะ
เรียกให้ดูหรู แต่จริงๆ ก็ห้องเก็บเสื้อผ้าและสมบัติต่างๆ ของตาลเองค่ะ สำหรับโต๊ะเขียนหนังสือนั้น แยกเป็น 2 ส่วนนะคะ จริงๆ แล้วที่ซื้อมาทีแรก มีแต่โต๊ะค่ะ
พอมาวันนึงไปเดิน CDC แล้วเห็นเค้าขายส่วนบน (ที่เป็นชั้นวางของบนโต๊ะ) ซึ่งเป็นของที่พนักงานบอกว่า ร้านดอกไม้ที่เลิกกิจการไปแล้วมาฝากวางขายโดย อันนี้เค้าเอาไว้วางพวกแจกันโชว์ เห็นแล้ว บรรเจิดไอเดียว่า เอามาวางบนโต๊ะที่เพิ่งถอยมาน่าจะดี เลยได้ออกมาแบบนี้ค่ะ
เนื่องจาก ซื้อกันมาคนละที่ คนละเวลา ทำให้สีของตัวโต๊ะ กับ สีของชั้นวางนั้น ขาว ต่างกัน แต่ไม่เป็นไรค่ะ ถือซะว่า แนววินเทจ
ของเยอะไหมคะ
ตุ๊กตากระต่าย 2 ตัวนั้นก็เป็นตัวที่ตาลชอบค่ะ ชื่อ usazukin ค่ะ (แอบเผยแพร่ลัทธิตุ๊กตา)
ชื่อที่เป็นตัวอักษร ว่าจะเอามาทำ เดคูพาจ ไม่ได้ทำเสียที จะครบปีแล้ว
มีใครได้ลองขึ้น A380 รึยังเอ่ย มีบินไปปารีสด้วยนะคะ (ต้องบรรยายให้เข้ากับภาพเสียหน่อย)
ตอนแรก ตาลออกแบบให้ตรงนี้แบ่งเป็น 2 ห้องค่ะ
คือ ห้องนอนกับห้องอ่านหนังสือและทำงานฝีมือ แต่พอสร้างจริง แม่บอกว่า เชื่อแม่เถอะ ไม่ต้องมีผนังกั้นหรอกลูก ไม่งั้นจะยิ่งเล็กไปกันใหญ่
เลยเชื่อแม่ และก็ดีกว่าจริงๆ ด้วยค่ะ
ด้านซ้ายเป็นชั้นเก็บของงานฝีมือค่ะ (กระดาษ Napkin ตะกร้าสาน และสมบัติอื่นๆ )
ด้านบนว่างๆ เลยจัดมุมน่ารักๆ เพิ่มเติม
โหลแก้ว เอามาใส่พวก Masking Tape สวยดีไหมคะ
ขอพรีเซนต์ ที่วางแว่นตาหมีคุมะ นี่หน่อยนะคะ
เพราะได้มาจาก ตู้คีบตุ๊กตาตอนไปญี่ปุ่น คีบหลายรอบมาก (ค่าเหรียญที่หยอด เกือบเท่าซื้อเองแล้ว) แต่มันเป็นความภูมิใจอันแรกเลยค่ะ ที่คีบของจากตู้ได้ (เมืองไทยไม่เคยได้อะไรซักอย่าง)
กับตุ๊กตากระต่าย ที่แสนน่ารัก
ชั้นวางของไม้นี้ ก็ซื้อจากข้างทางค่ะ เป็นเนื้อไม้ แต่เพื่อเพิ่มความหวาน ตาลเลยเอา Wallpaper ของ Cath Kidston ที่ซื้อไว้มาแปะ แต่แปะทั้งผนังตามวัตถุประสงค์ของ Wallpaper ก็ไม่ไหว แพงเกิน เลยเอามาตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ พอ
โต๊ะตัวนี้สั่งทำ
ตอนแรกตั้งใจจะเอาไว้เป็นโต๊ะตอนแต่งหน้า แต่เนื่องจากมีส่วนกลางอยู่แล้ว เลยกลายเป็นโต๊ะวางของไปโดยปริยาย
ห้องสุดท้าย ห้องเก็บเสื้อผ้า และข้าวของที่รอดมาจากน้ำท่วมค่ะ
ห้องนี้สีเขียว TOA Sheild One เบอร์ 7603 ค่ะ ห้องนี้ไม่มีบัวผนังนะคะ เพราะไม่ใช่ห้องโชว์ค่ะ แหะๆ ตู้เหล็กบานสไลด์ 2 บานนี้ ทนมาก จมน้ำอยู่เป็นเดือน แต่ยังใช้งานได้อยู่ นำมาวางมุมนี้ได้พอดี (ขอดีของบานสไลด์คือไม่ต้องคำนึงถึงการสวิงของบานตู้) แต่บางทีก็น่ารำคาญที่เปิดตู้ได้ไม่เต็มที่ค่ะ
ตู้สีๆ จากร้านห้องแถว เอามาต่อกัน
เอาไว้เก็บของกระจุกกระจิก และ ชั้นวางของจากโฮม เอาไว้เก็บถุงใส่ตุ๊กตาของสะสม และของอื่นๆ ค่า (ห้องนี้รกจริงๆ)
ครบหมดทุกห้องแล้วค่ะ
ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นนะคะ ตอนแรกตั้งใจจะเขียนบันทึกนี้เอาไว้อ่านเอง ใน FB ส่วนตัว แต่คิดว่า เอามาเผยแพร่คงเป็นประโยชน์มากกว่า
คืนนี้ ฝันดีทุกท่านค่ะ ทิ้งท้ายด้วยรูปสวนที่มองจากระเบียงชั้น 2