ยังมีอีกหลายคนที่กำลังทำงานหนักเพื่อเก็บเงินเอาไว้เป็นค่าผ่อบ้าน เป็นที่รู้กันดีว่าบ้านแต่ละหลังนั้นต้องใช้ระยะเวลานานหลายปีกว่าจะผ่อนชำระจนหมด หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นหนี้ยาวนั่นเอง เงินที่กู้มาจากธนาคารก็ต้องใช้คืนทั้งต้นและดอก บางรายที่หมุนเงินไม่ทันก็อาจจะผ่อนหมดช้าเข้าไปอีก ทำให้ไมไ่ด้เงินประกันคืนด้วย
สำหรับคราวนี้ ในบ้าน ก็มีเคล็ดลับดีๆ สำหรับคนที่กำลังผ่อนบ้านมาฝากกันครับ เป็นประสบการณ์โดยตรงของคุณ สมาชิกหมายเลข 1789217 เว็บไซต์ Pantip.com ที่สามารถผ่อนบ้านหมดได้ในระยะเวลาอันสั้น แถมยังได้เงินคืนบางส่วนอีกด้วย ซึ่งเป็นเทคนิคที่หลายคนยังไม่เคยรู้ ลูกหนี้มือใหม่ลองมาดูเป็นแนวทางกันครับ พลาดไม่ได้เลย
วิธีผ่อนบ้านให้หมดเร็ว และได้เงินคืนบางส่วน เมื่อผ่อนหมด
(โดย สมาชิกหมายเลข 1789217)
วิธีนี้หลายท่านคงรู้ดีอยู่แล้ว ผมขอแชร์ให้ผู้ที่ไม่รู้แล้วกันนะครับ สละเวลาอ่านแล้วคุณจะประหยัดเงินได้เยอะเลย ที่ผมอยากแชร์ประสบการณ์ตรงนี้ก็เพราะว่าพ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ของผมหลาย ๆ คนที่บ้านนอกจากเขาจะไม่เคยรู้เลยว่ามันทำได้ (คนในเมืองส่วนใหญ่จะรู้แล้ว) ได้แต่ก้มหน้าผ่อนตามสเต็ปของธนาคาร ผมเห็นท่านเหนื่อยมาก่อน พอผมมีประสบการณ์กับตัวแล้วทำได้จริง ก็เลยอยากบอกต่อสำหรับผู้ที่ยังไม่รู้ครับ
1. ผ่อนให้หมดไวคือ การรู้จักขอลดดอกเบี้ย
2. ได้เงินคืนบางส่วนคือ “เงินประกัน” ที่หลายคนถูกบังคับให้ทำตอนกู้นะครับ ซึ่งหลายธนาคารมักจะอ้างว่าจะได้อนุมัติให้ผ่านง่ายขึ้นถ้าทำประกัน (หลายคนอาจจะมีวิธีพูดที่ไม่ต้องทำตั้งแต่แรก แต่อันนี้สำหรับคนที่โดนไปแล้วนะครับ)
*****************************
1. ผ่อนให้หมดไวคือ การรู้จักขอลดดอกเบี้ย
ปกติสัญญามักจะบอกว่าห้ามปิด (โปะหนี้) ก่อน 3 ปี เราจึงใช้ช่องโหว่ตรงนี้มาขอลดดอกเบี้ยกับธนาคารครับ โดยการบอกว่าขอลดดอกเบี้ย (หลังจากผ่อนครบ 3 ปี) ถ้าไม่ได้เรามีแผนว่าจะรีไฟแนนซ์ไปธนาคารอื่น (หมายถึงเราจะให้ธนาคารอื่นมาโปะหนี้กับธนาคารเดิม แล้วเราไปเป็นหนี้ธนาคารอื่นแทน) เมื่อบอกแบบนี้แล้วธนาคารจะพยายามรักษาลูกหนี้ไว้โดยการรีเทนชั่น (คือลดดอกเบี้ยให้)
วิธีการ ไปติดต่อธนาคารสาขาที่คุณกู้เพื่อเจรจาขอลดดอกเบี้ย โดยวิธีการคุยให้คุณได้เปรียบคือขอลดดอกเบี้ยดื้อ ๆ เลยครับ โดยให้เหตุผลแค่ว่าเพราะเราเป็นลูกค้าชั้นดี ไม่เคยมีประวัติชำระไม่ตรง และตอนนี้ผ่อนมาครบ 3 ปีแล้ว อยากขอลดดอกเบี้ย ถ้าไม่ได้จะตั้งใจว่าจะรีไฟแนนซ์เพราะไปเช็กดอกเบี้ยโฮมโลนสำหรับลูกค้าใหม่มาแล้ว 4-5 ธนาคาร แล้วดอกถูกกว่าที่จ่ายอยู่
จากนั้นพนักงานอาจจะถามคุณว่าสนใจที่ไหนอยู่ คุณก็แกล้งบอกไปสัก 1 ธนาคารที่ดอกต่ำที่สุดในกระดาษที่คุณจดมา (แต่คุณต้องเช็กแล้วเขียนใส่กระดาษไปเลยว่า ดอกเบี้ยแต่ละธนาคารเท่าไร 4-5 ที่อย่างที่บอกจริง ๆ ย้ำว่าต้องเช็กไปจริง ๆ เพราะคุณจะต่อรองได้มาก ธนาคารจะรู้เรตของธนาคารอื่นอยู่แล้ว แค่แกล้งถามให้รู้ว่าคุณเช็กมาจริง คุณเอาจริง) จากนั้นธนาคารเขาจะออฟเฟอร์ดอกเบี้ยใหม่ให้คุณ ซึ่งก็ยังแพงกว่าของธนาคารที่คุณแจ้งไปเล็กน้อย (เพราะเขารู้ว่าถ้าคุณรีไฟแนนซ์ คุณก็ต้องมีค่าใช้จ่ายและบางคนก็มองว่ายุ่งยาก ดอกเบี้ยลดให้แล้วแต่ยังแพงกว่าหน่อย ลูกค้าส่วนใหญ่ก็โอเค เพราะซื้อความสะดวก) พอคุณได้ดอกเบี้ยใหม่ คุณก็ถามเขาได้เลยว่าดอกเบี้ยใหม่เริ่มคิดให้ตั้งแต่เดือนไหน (ผมกำลังหมายความว่า คุณสามารถไปติดต่อก่อนครบ 3 ปี ล่วงหน้าสัก 1-2 เดือนได้เลย)
ป.ล. ดอกเบี้ยของธนาคารอื่น 4-5 ธนาคารที่ผมให้เช็กและจดไปว่าที่ไหนต่ำสุด ให้คุณคำนวณว่าในระยะเวลาอีก 3 ปีที่จะผ่อนข้างหน้าต่ำสุด ไม่ใช่ดูแค่ว่า 0% 3 เดือนแรกจากนั้นแพง ให้คำนวณดูที่ 3 ปี เพราะหลังจากนั้นทุก ๆ 3 ปี คุณก็ใช้ช่องโหว่เดิมมาขอลดดอกเบี้ยได้อีก ทั้งนี้ทั้งนั้นยอดหนี้ต้องเกิน 1 ล้านบาทตอนไปขอลดดอกเบี้ย (แล้วแต่ธนาคาร)
เพิ่มเติมให้ครับ –> บางธนาคารก็ดูท่าทีเรานะครับ เพื่อประเมินว่าควรให้ดอกเบี้ยใหม่เท่าไร ถ้าไม่รู้อะไรไปเลยก็จะได้ลดไม่เยอะ เพื่อนผมเคยเจอแบบว่า พอพูดว่าจะรีไฟแนนซ์ เขาเช็กดูว่าเป็นหนี้บัตรเครดิตหรือเปล่า จนเพื่อนผมต้องบอกว่าหนี้บัตรตั้งใจปิดก่อนรีไฟแนนซ์อยู่แล้ว เพราะรู้ว่าต้องใช้ในการพิจารณาขอสินเชื่อบ้าน ยังไงก็จะปิดอยู่แล้ว เลยได้ลดดอกเบี้ยมาครับ ถ้าเขารู้ว่าเราไม่มีทางเลือกเป็นหนี้บัตรเครดิตอาจจะยากในการขอสินเชื่อจากธนาคารใหม่ ธนาคารก็อาจจะดึงเกมโดยไม่ลดให้หรือลดให้ไม่มาก เพราะรู้ว่าที่จริงแล้วเราไม่มีทางเลือกนะครับ ทางที่ดีก่อนไปต่อรองควรชำระบัตรให้หมด หรืออย่างน้อยให้บัตรเครดิตของธนาคารนั้นเป็น 0 ไปรวมหนี้ไว้ที่บัตรของธนาคารอื่นก่อน
2. ได้รับเงินคืน เมื่อผ่อนหมด
กรณีถ้าคุณโดนบังคับทำประกันพร้อมกู้ซื้อบ้านและคุณได้ทำสัญญากู้บ้าน เช่น ทำสัญญากู้บ้าน 30 ปี แต่คุณผ่อนจริง 17 ปีหมด คุณสามารถติดต่อขอเคลมเงินประกันคืน โดยคุณให้เหตุผลกับธนาคารว่า คุณได้คุ้มครองแค่ 17 ปี ที่เหลืออีก 13 ปีไม่ได้มีการคุ้มครองเพราะผ่อนบ้านหมดแล้ว ดังนั้นจึงขอเคลม 13 ปีที่ไม่ได้คุ้มครองคืนเป็นเงิน
*** ทั้งนี้เงินที่ขอเคลมคืนอาจจะไม่ได้มากนะครับ อาจจะไม่กี่หมื่น สอบถามธนาคารได้เลยว่าได้คืนเท่าไร ซึ่งธนาคารอาจจะยื่นข้อเสนอว่าถ้าไม่รับคืนก็จะคุ้มครองต่อ (ซึ่งการคุ้มครองมักจะเป็นได้เงินถ้าเราตาย ส่วนใหญ่ธนาคารจะทำประกันแบบนี้ให้ เพราะเขากลัวว่าเราตายก่อนผ่อนบ้านหมด ซึ่งผู้ที่ได้ก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นผู้รับประโยชน์ในสัญญากรมธรรม์ ถ้าเราให้เขาคุ้มครองต่อ เราก็แจ้งชื่อผู้รับประโยชน์ใหม่ไปได้เลย เพราะผู้รับประโยชน์เก่าในกรมธรรม์ก่อนที่เราจะปิดบ้านหมดคือ “ธนาคาร”) ดังนั้นคุณสามารถลองชั่งน้ำหนักดูได้ว่าจะเคลมเอาเงินคืนหรือให้เขาคุ้มครองต่อไป
ทั้งหมดนี้เป็น 2 ข้อง่าย ๆ ที่ผมได้จากประสบการณ์ตัวเอง ประหยัดเงินไปได้หลายแสนเลยครับ
ที่มา : สมาชิกหมายเลข 1789217