การรีโนเวทบ้านเก่า เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่อยากมีบ้านหลังใหม่ที่สวยงามตามต้องการ โดยอาจจะเป็นบ้านที่มาจากบ้านเก่าของตนเองอยู่แล้ว หรือจะเป้นบ้านเก่ามือสอง ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ซึ่งก็เป็นวัตถุดิบที่ดีสำหรับการนำมารีโนเวทใหม่ตามไอเดียที่เราต้องการ
วันนี้ ในบ้าน จึงจะพาเพื่อนๆ ไปชมไอเดีย “รีโนเวทบ้านมือสอง” ของคุณ Femmemy ที่ได้ทำงานรีโนเวททาวน์เฮ้าส์มือสองให้กลายเป็นบ้านใหม่ที่มาจากความชื่นชอบ ตามไปเก็บไอเดีย เก็บข้อมูลกันได้เลยครับ
รีโนเวทตกแต่งบ้านมือสองให้เป็นบ้านของเรา Let’s make a house a home
(โดยคุณ Femmemy)
สวัสดีค่ะ วันนี้จะมารีวิวการรีโนเวทตกแต่งบ้านมือสองให้เป็นบ้านของเราในสไตล์ของเรา ขอมาแชร์แบ่งปันประสบการณ์สถาปนึก/แบบที่เราได้ทำบ้าง หลังจากที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์และรีวิวของเพื่อนๆทั้งใน google และแน่นอนจากพันทิปไปพอสมควร
ท้าวความหลังก่อนนิดนึง
เริ่มแรกเดิมทีเลย ลังเลระหว่างห้องชุดในคอนโดแบบ 2 – 3 ห้องนอน ระหว่างบ้านมาก เพราะส่วนตัวชินกับการอยู่แบบอพาร์ทเม้นท์มาตลอด ชอบอะไรที่ 3-4 ก้าวถึงครัว ถึงห้องนอนเลย 55555 แต่พอดูราคาบ้านกับคอนโดในกทม.แล้ว ราคาไม่ต่างกันเท่าไรเลยตัดคอนโดออกไป (ที่บ้านไม่โอคกับสิ่งที่ไม่ได้เป็นรูปธรรม)
ก็มาถึงทางเลือกแค่ว่าจะเอาบ้านเดี่ยวหรือทาวน์เฮ้าส์ สำหรับเราส่วนตัว ยังไงก็ได้เพราะค่อนข้างชินกับการมีสเปซเล็กๆ (ยัง)ไม่ได้อินกับการปลูกต้นไม้ปลูกหญ้า อยากได้แบบทาวน์โฮมมากกว่าด้วย เพราะส่วนใหญ่จะอยู่คนเดียว ถ้ามีพื้นที่หญ้าสีเขียว
สุดท้ายอาจจะดูแลไม่ไหวอยู่ดี แค่อยากได้เป็นบ้านมือ 1 นอกโครงการบ้านจัดสรร ไม่อยากได้บ้านในโครงการ เพราะไม่อยากจ่ายค่าส่วนกลางทุกปีๆ ขับรถวนๆดูหลายๆที่ แต่เมื่อเทียบดูราคา/โลเคชั่นแล้ว ก็ทำให้รู้ว่าราคาในโลเคชั่นที่เราต้องการมันไม่สามารถเอื้อมถึงได้ บ้านมือสองแบบทาวน์เฮ้าส์คงเป็นคำตอบที่เหมาะที่สมควรคู่กับเรามากที่สุด
แล้วสรุป..เราก็ได้บ้านมือสอง และอยู่ในโครงการมาค่ะ
เชื่อแล้วว่า เจ้าของเลือกบ้านอย่างเดียวไม่ได้ บ้านต้องเลือกเจ้าของด้วย ได้มาเจอบ้านหลังนี้โดยบังเอิญ ตอบโจทย์เกือบทุกอย่างที่เราต้องการ (ยกเว้นราคา T_T) ตกลงเป็นโครงการนี้ได้เพราะชอบที่มีบ้านแค่จำนวนหลักสิบกว่าหลัง (ไม่เกินร้อย)
เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ตอบโจทย์มากตรงทำเล โลเคชั่นที่เราดูไว้คือจตุจักร หลังการบินไทย/ลาดพร้าวซอยต้นๆ /พหลโยธิน/ รัชโยธิน/เซ็นทรัลลาดพร้าว แถวๆนี้ เพราะคุ้นเคย อยู่ไม่ไกลจากบ้านญาติ ไม่ไกลจากสนามบินดอนเมือง อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงาน
และที่สำคัญอยากได้ที่รถไฟฟ้าถึง อันนี้ก็คือตอบโจทย์ทุกอย่าง ออกมาจากปากซอย คือ สถานีรถไฟฟ้า BTS เลย
เนื้อที่บ้าน 22 ตรว. เป็นบ้าน 3 ชั้นค่ะ 4 ห้องน้ำ หน้ากว้าง 5.5 เมตร พอจอดรถเก๋งธรรมดาๆ 2 คันและปลูกต้นไม้ได้รอบๆ นิดนึง พื้นที่ใช้สอย ไปเจอในข้อมูลที่ไหนไม่รู้บอกว่า 200 กว่าตรม. แต่คิดว่า น่าจะไม่ถึง อาจจะอยู่ที่ประมาณ 150 กว่าตรม. ของเราสรุปแล้วแบ่งทำเป็น 3 ห้องนอน 1 ห้อง family/living area 1 ห้องรับแขก ห้องกินข้าว และ 1 ห้องครัวค่ะ
ข้อดีของการซื้อบ้านมือ 2 หลังนี้
– โครงการที่ซื้อ ตัวบ้านสร้างเสร็จมาครบ 5 ปี พอดี เลยพอทำให้เรารู้ปัญหาที่เกิดขึ้นของบ้านได้เลย
– มีเพื่อนบ้านแล้ว ได้เห็นหน้าค่าตา ซ้ายขวาหน้าหลังบ้านเราเป็นใคร ไม่ต้องลุ้น
– ไม่ต้องมโน ความเป็นอยู่หรือสภาพแวดล้อม ได้เห็นตามสภาพความเป็นจริงเลย
ส่วนข้อเสียก็มี
– ตัวสภาพบ้านเดิม เจ้าของอยู่เองแค่ตอนต้นๆ แล้วปล่อยให้เช่า ทำเป็น home office ผู้เช่าไม่ค่อยได้ดูแลบ้านเท่าไร เราซื้อมาเลยต้องปรับปรุงรีโนเวทเพิ่มเติม
– อันนี้เป็นข้อเสียที่รู้สึกเสียดายที่สุด คือเรื่องราคา จากการลองหาข้อมูลดู บ้านมือสองควรที่จะได้ราคาที่ดีกว่านี้ แต่เราต่อรองไม่ค่อยเป็น (ซื้อบ้านครั้งแรก) ราคาเลยบวกจาก ราคาตั้งต้นของโครงการไปประมาณเกือบ 30% ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ T_T ก็แนะนำทุกคนให้ตรวจสอบ เจราจาต่อรองราคากันดีๆ
ช่วงวิกฤตินี้ ถ้าใครมีเงินสำรองซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยช่วงนี้น่าจะได้ดีลราคาดี อสังหาต่างๆ ราคาลดลงจนน่าตกใจ นี่ก็เสียดาย ถ้ารอซื้อช่วงนี้ได้ ก็น่าจะได้ดีลที่ราคาดีมากๆ แต่คิดไปคิดมา ถ้ารอจนถึงตอนนี้ ก็อาจจะไม่ได้บ้านหลังนี้แล้วแหละ ลืมบอกไปว่า บ้านหลังนี้ เราได้มาเมื่อเดือน พ.ย. 61 ค่ะ
ซึ่งปัจจุบัน ย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้แล้วประมาณ 4 เดือน ก็รู้สึกแฮปปี้เอ็นจอยกับการอยู่บ้าน แต่งบ้านมากๆ และตอนในช่วงวิกฤตินี้ก็ได้กิจกรรมใหม่ คือการปลูกต้นไม้ ก็เลยคิดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันคงมีเหตุผลของมันแล้วแหละ อย่างน้อยก็ยังดีได้บ้าน ได้รีโนเวทบ้านเสร็จพร้อมอยู่ ช่วงวิกฤติแบบนี้
จบบทนำ มารีวิวบ้านกันเลยค่ะ
Before – After
หลังจากได้โอนบ้าน ก็ยังไม่ได้จังหวะเริ่มรีโนเวทอะไรเลย ทิ้งไว้ประมาณ 6 เดือน เข้าไปดูบ้าน 3-4 ครั้ง ในเวลาต่างๆ ลองร่างๆ แบบที่เราอยากได้ แต่กว่าจะเริ่มหาแบบ และหาช่างจริงจังได้ เริ่มงานรีโนเวทก็ช่วงต้นเดือน พ.ค.62 ใช้เวลาในการทำบ้านทั้งหมด ตั้งแต่ พ.ค. – ธ.ค. 62 ประมาณ 8 เดือนค่ะ
ช่วงว่างๆ ยังไม่ได้เริ่มหาช่าง เราก็ลองหาโปรแกรม หา inspiration ใน pinterest คิดออกแบบพื้นที่บ้านเองตามวัตถุประสงค์การใช้สอยที่เราต้องการใช้ แล้วก็ออกแบบเพื่อดูว่าจะต้อง built-in ส่วนไหนบ้างอะไรบ้าง
.
.
.
.
.
.
.
สุดท้ายแล้ว แบบก็ไม่ได้ตามนี้ 100% นะคะ น่าจะแค่ประมาณ 80% แต่คิดว่าการได้ลองทำแบบนี้ ทำให้เราเป็นภาพรวม หรือพอจะคิดถึงสิ่งที่เราต้องการ กับพอคำนวนงบประมาณการรีโนเวทต่อเติมได้ง่ายมากขึ้น และแน่นอน ถึงแม้ว่าจะวางงบไว้ประมาณนึงแล้วก็ตาม คำว่า “บ้าน” มันคือ “บ้า” และ “บาน” เลย
สรุปแบบคร่าวๆ
เอารูปแปลนบ้านของทางโครงการให้มา flip เพราะของบ้านเราเป็นบันไดอยู่ทางด้านขวามือ
มีคนถามงบประมาณในคอมเม้นท์ ขอยกเอามาไว้หัวกระทู้เลยนะคะ ตอนแรกๆทำบัญชีจดไว้ทุกบาททุกหน่วยทุกสตางค์ มาช่วงหลังๆ มันดูจะบานออก เลยอยากมองแค่ภาพรวมๆ พอ
กรอบงบหลักๆ
1. รีโนเวทต่อเติม โครงสร้างครัว + ที่ตากผ้า + ห้องน้ำ เฉพาะค่าแรงช่าง และวัสดุพวกปูน อิฐ ประมาณ 220,000 บาท
2. วัสดุอื่นๆ เช่น กระเบื้องปูพื้น ไวนิล ชักโครก ฝักบัว อื่นๆ อีกประมาณ 250,000 บาท
3. built-in ครัว ประมาณ 175,000 บาท
4. built-in เฟอร์นิเจอร์ทั้งบ้าน + เปลี่ยนประตูไม้สัก ประมาณ 660,000 บาท ระบบไฟ 90,000 บาท
5. ทาสีภายในทั้งหมดและภายนอกบางส่วน 90,000 บาท (ไม่รวมสี)
6. แล้วก็จะมีค่าแรงช่างงานจิปาถะ พวกเทพื้นหน้าบ้าน งานแก้ งานโน่น งานนี่งานนั่นเพิ่มมาเป็นระยะๆ ส่วนนี้น่าจะประมาณ 100,000 บาท
7. หลังคาดีไลท์ 18,200 บาท (เฉพาะแผ่น ไม่รวมค่าแรง)
8. แอร์ 6 ตัว Mitsubishi (Electric & Heavy Duty) 161,500 บาท
9. อลูมิเนียมกั้นห้องชั้น 2 และห้องครัวใหม่ 45,000 บาท
10. มุ้งลวด 6 จุดในบ้านเป็นแบบมุ้งจีบ 22,500 บาท
11. ม่าน 7 จุด + ม่านโปรงทุกจุด 32000 บาท
12. ฟิล์มกรองความร้อน 8900 บาท
13. เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ (ทีวี 3 ตัว ตู้เย็น 2 เครื่องซักผ้า 1 ฮู้ด เตา ฯ) 150,000 บาท
14. เฟอร์นิเจอร์ลอยตัวอื่นๆ (เตียง 2 ฟูก 4 โซฟา 1 โซฟาเบด 1 โต๊ะกินข้าว โต๊ะทำงาน เก้าอี้ ฯลฯ) 200,000 บาท
15. กล้อง CCTV 5 ตัว 29,900 บาท
16. เบ็ดเสร็จประมาณ 2 ล้านต้นๆ ค่ะ
สิ่งที่ได้ทำจริง
พื้นที่หน้าบ้าน Before – After
.
.
– ปรับพื้นและปูกระเบื้อง
เดิมพื้นลานจอดรถที่ได้มาเป็นพื้นปูนธรรมดาที่โครงการให้มา เรายกความสูงพื้นที่จอดรถเพิ่มขึ้นนิดนึงเป็นประมาณ 10 ซม. ให้เท่าๆกับบ้านหลังอื่น แล้วก็ปูกระเบื้อง ส่วนรั้วใช้รั้วเดิม แค่ทาสีใหม่ แต่เปลี่ยนรางข้างล่างจากเดิมเหล็กให้เป็นสแตนเลส
*ข้อแนะนำ*ใครอยากปูกระเบื้องลานจอดรถ แนะนำอย่าเลือกสีอ่อนค่ะ ทางเราเลือกสีอ่อนมา โดนอะไรนิดหน่อยก็ดำ ก็เปื้อน บางรอยก็ขัดไม่ออก เป็นรอยอีก T_T เสียดาย
– หลังคาใหม่
เดิมเป็นหลังคาค่อนข้างทึบ แสงผ่านน้อย ตัวบ้านหันไปทางทิศเหนือ แทบไม่คอยโดนแดดอยู่แล้ว ตัวโครงสร้างหลังคายังดีอยู่ เลยเปลี่ยนเฉพาะ ตัววัสดุมุงหลังคา เปลี่ยนเป็นแผ่นดีไลท์ d-lite แบบลอนเรียบ เลือกแบบยังกัน UV แต่ให้แสงผ่านได้เพิ่มมากขึ้นเป็น 54% (จริงๆ ถ้างบถึง อยากได้แผ่น shinkolite แต่ประเมินราคาแล้วไม่ไหว เลยเอา d-lite นี้ละกัน)
– ประตูหน้าบ้าน
เปลี่ยนจากประตูกระจกสไลด์เป็นประตูไม้สัก ยกกรอบประตูอลูมิเนียมทั้งหมดออก เอากรอบไม้ติดตั้งแทน.. จริงๆ อยากได้แบบเปิด-ปิด ผลักเข้าออก แต่คำนวนดูแล้วน่าจะกินพื้นที่ในส่วนจอดรถมากเกิน เลยยังคงไว้เป็นแบบบานเลื่อนเหมือนเดิม
– ไฟตรงลานจอดรถ
เพิ่มไฟ2 ดวง แล้วก็ทำสวิชต์ไฟ 2 ทาง ให้เปิดทั้งจากหน้าบ้าน และในบ้านได้เลย
ส่วนในบ้าน
ชั้น 1
– ต่อเติมพื้นที่หลังบ้าน
หลังจากผูกมิตรกับเพื่อนบ้าน ซ้ายขวา และหลัง ก็ขอต่อเติมพื้นที่ซักล้างหลังบ้าน ตรงนี้ปัญหาค่อนข้างเยอะมากที่สุด เพราะเป็นการต่อเติมจากโครงสร้างเดิม กังวลเรื่องการทรุด แล้วจะดึงบ้านทรุดไปด้วย ปัญหาร้อยแปดพันเก้า
ถึงคราวทำบ้านตัวเอง จากที่ลองหาข้อมูลมา เลยตกลงเลือกใช้แบบเสาเข็มไมโครไพล์ ที่เหมาะสำหรับการต่อเติม ปั้นจั่นเข้าได้ในพื้นที่น้อยแบบนี้ และที่สำคัญคือ แรงสั่นสะเทือนน้อยไม่รบกวนเพื่อนบ้าน
ตอนแรกช่างเสนอว่าจะวางแค่ 2 ต้น (พี่ที่เป็นวิศวกรคำนวนน้ำหนักให้แต่ละต้นประมาณ 20 ตัน) คิดไปคิดมา เอา 4 ต้นไปเลยดีกว่า แล้วก็แยกโครงสร้างระหว่างบ้านเดิมและส่วนต่อเติม รวมถึงผนัง ก็ก่อขึ้นมาใหม่ ไม่ฝากไว้ที่กำแพงหรือรั้วบ้าน เพื่อความชัวร์ โครงสร้างเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น พยายามเอาที่แข็งแรง ปลอดภัยไว้ก่อนน
สรุปได้เป็นเสาเข็มไมโครไพล์แบบนี้ค่ะ
จริงๆ เกือบจะเป็นแบบแรกในรูป before ข้างบน ที่เป็นเสาเข็มไมโครไพล์แบบตัว I คือเจ้าแรกที่ติดต่อ แต่คุยไปคุยมา ตกลงไม่เข้าใจกันกับเจ้าของ คุยผ่านคนกลางไปๆมาๆแล้วงงๆ
เรื่องจ่ายเงิน อยู่ดีๆ เจ้าของขนกลับเลย เราเองยังงง… แต่สุดท้ายได้เจ้าใหม่ ซึ่งโชคดีมาก ได้แบบเหลี่ยม สแควร์ปันไมโครไพล์ ซึ่งดูแล้ว (คิดเอาเองว่า) น่าจะแน่นหนามั่นคงแข็งแรงกว่า และบริษัทที่ 2 ก็มีความเป็นมืออาชีพมากกว่า
หลังดำเนินการเสร็จก็มีเอกสารใบรับประกันมาให้ด้วยเสร็จสรรพพร้อม สรุปว่าตรงนี้ก็โดนไป 4 ต้น ตอนแรกอยากให้ตอกเท่ากับเสาของโครงสร้างบ้าน แต่ช่างบอกเจาะลึกสุดๆ แล้วได้แค่ประมาณ 16 เมตร ก็ตามนั้น .. แยกโครงสร้างบ้านและส่วนต่อเติม รอดูต่อไปอนาคตจะเป็นยังไง
มาถึงเรื่องการรับเหมาทำบ้าน เราไม่มีผู้รับเหมาโดยตรงค่ะ แต่ได้ช่างรับเหมามา 1 ทีมเล็กๆ ป้ากับลุง ถ้างานไหนต้องใช้คนเพิ่ม เค้าก็ค่อยเอาคนมาช่วย
ที่บ้านเราไม่ค่อยเข้าใจกับการจ้างอินทีเรีย หรือสถาปนิกมืออาชีพมาดูด้านนี้โดยเฉพาะ เพราะคิดว่าตรงนี้เป็นส่วนต่อเติม ช่างรับเหมาเฉยๆน่าจะทำได้ ซึ่งขอปฏิเสธตรงนี้เลยว่าไม่จริง ! นอกจากช่างคนนั้นจะเรียนจบทางนั้นมาโดยตรง หรือทำจนเป็นมืออาชีพแล้ว ซึ่งแน่นอนค่ะ เราจะไม่โชคดีขนาดนั้น
กรณีของเรา ทีมที่ได้มาเป็นช่างรับเหมาธรรมดา บางอย่างที่ให้ทำ รู้สึกว่าจะบ้านเราจะเป็นครั้งแรกของคุณลุงคุณป้าเค้าด้วย T_T เค้าเสนอวัสดุอะไรมา เราก็เกือบจะโอเคทุกอย่าง มีปรึกษาและถามถามพี่ๆ คนรอบตัว ที่เป็นวิศวกรทำบริษัทด้านนี้ให้ช่วยดูบ้างตามความสนิท แต่ก็ไม่ได้ถามทุกเรื่องโดยละเอียดเพราะเกรงใจ
ช่วงนั้นเหนื่อยมากกับการเข้าหน้างานทุกวัน ตามงาน หาข้อมูล ขอความช่วยเหลือถามคำถามคนนั้นทีคนโน้นที ซึ่ง 5-6 เดือนที่อยู่กับการต่อเติมตรงนี้ บอกได้เลยว่าใช้พลังไปมากก ก็พยายามดูไม่ให้หลุด ถ้าตรงไหนไม่โอเค ก็รีบบอกให้แก้ทันที ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หน้าแย่ สิวขึ้นเยอะมาก เพราะไปดูบ้านทุกวัน บางวันเข้าเช้า-เย็น
เป็นบ้านหลังแรก (และอาจจะหลังสุดท้ายของเราด้วย) อยากให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด กลัวช่างทำพลาด กลัวโน่นนี่นั่น วิตกกังวลเยอะมาก ..เพราะฉะนั้น แนะนำเลย สำหรับคนที่จะต่อเติมรีโนเวทบ้าน จ้างผู้รับเหมามืออาชีพเถอะค่า
จบในเรื่องของการวางโครงสร้างและดราม่าช่างรับเหมา
ก่อนจะกลับไปที่การรีโนเวทชั้น 1 อีกงานที่สำคัญมากของชั้น 1 ก็คือการหาจุดน้ำรั่ว และการกำจัดปลวกค่ะ !
เนื่องจากเจ้าของบ้านหรือผู้เช่าไม่ได้ดูแลเลย ไม่ได้ฉีดปลวกสม่ำเสมอ อีกทั้งก่อนหน้าที่เราจะซื้อบ้าน รู้สึกว่าจะไม่มีใครอยู่บ้านมาหลายเดือน น้องปลวกเลยมาบุก พักอาศัยกันอยู่เยอะเลย ก็ให้บริษัทฉีดปลวกมาชี้จุด และดำเนินการกำจัดปลวกต่อ
ส่วนของ built-in ครัวเดิมจะโดนปลวกมากที่สุด เราก็รื้อครัวเก่าออกทั้งหมด
ส่วนจุดน้ำรั่ว หาอยู่นาน ตอนแรกไม่เจอ แต่ในท้ายที่สุดก็เจอและแก้ไขเรียบร้อยค่ะ
กลับมาที่การรีโนเวท ชั้น 1 ต่อ
– ปูกระเบื้องใหม่
เลาะกระเบื้องเก่าออก ปูเป็นกระเบื้องใหม่ ลายหินอ่อนแบบผืนใหญ่(กว่าเดิม) ในส่วนนั่งเล่นและโต๊ะกินข้าวเป็นลายหินอ่อนสีขาวเงา ส่วนครัวเป็นลายหินอ่อนสีเทาแบบสาก
– ต่อเติม ปรับเปลี่ยนครัว
เอา built-in ครัวเก่าออก เพิ่มพื้นที่ครัวให้มากกว่าเดิม กั้นครัวใหม่ และวางแผนจะปรับครัวให้เป็นครัวปูนรูปตัว U เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาปลวกในภายภาคหน้า
.
top ใช้หินเทียม GEOLUXE ของ SCG
– เปลี่ยนปั๊ม
จากเดิมน้ำชั้น 3 ไหลเบามาก เลยตัดสินใจเปลี่ยนปั๊มจากเดิมที่โครงการให้ Mitsubishi เป็นของ Grundfos scala2 โดยรวมแรงน้ำดีขึ้น พอมีเสียงบ้าง แต่ไม่ดังเท่าตัวเดิม อาบน้ำแบบใช้ rain shower ชั้น 3 ได้โอเคเลยค่ะ
– จัดการงานระบบเซอร์วิสของบ้านให้เป็นระเบียบมากขึ้น
ปรับท่อน้ำทิ้ง บ่อบำบัด บ่อดักไขมัน ถังเก็บน้ำ ปั๊มน้ำอะไรให้เป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น
ช่วงต่อเติมปรับปรุงนี้ใช้เวลานานมาก หลายๆครั้งที่ท้อ ช่างติดโน่นบ้างนี่บ้าง ตรงนี้ไม่เรียบร้อย ตรงนั้นขาด ฯลฯ ..จนข้างๆบ้านที่ตัดสินใจต่อเติมหลังบ้านเหมือนกันในภายหลังเสร็จก่อนหน้าเราอีก ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน -_- ช่วงแรกเครียดมาก ช่วงหลังๆ อะไรที่พอปล่อยผ่านได้ ก็ยอม..ไม่ใช่อะไร เหนื่อยแล้วจ้า T_T
ข้ามไปตอน After เลยดีกว่าค่ะ
ในครัว หลังจากติดตั้งครัว ติดเตา ฮู้ดดูดควัน อ่างล้างจาน และทำ built-in แบบกันปลวกอะไรแล้วก็จะได้แบบนี้
.
สภาพใช้งานจริง ช่วงแรกๆ ยังพอมีพื้นที่ว่างบ้าง ..ตอนนี้อุปกรณ์เครื่องครัวต่างๆ เพิ่มขึ้นมามากมาย เป็นสายอุปกรณ์ ขอเครื่องครัวครบไว้ก่อน ฝีมือมีไม่มีค่อยว่ากัน
พื้นที่รับแขก และโต๊ะกินข้าวหลังจาก built-in แล้ว ส่วน built-in ของตรงนี้เน้นอย่างเดียว คือเราต้องการให้ซ่อนประตูห้องเก็บของ ไม่ให้เห็น ช่างเลยออกแบบให้เป็นประตูซ่อนกด
Before – After
ด้านหลังตรงบันได ก็ทำพื้นที่เล็กๆ พร้อมใส่ไฟ ไว้ตั้งของเล็กๆน้อยๆโชว์ได้
.
.
อยู่ไปอยู่มา ของก็จะเพิ่มมากขึ้น เป็นธรรมดา
หลักๆของชั้น 1 ก็ประมาณนี้ค่ะ
สิ่งที่ทำ ชั้น 2
– ปูพื้นใหม่ เลาะลามิเนตพื้นเดิมสีเข้มทั้งชั้น 2-3 ออก เปลี่ยนป็นไวนิลสีอ่อนลง เห็นคนขายเคลมว่าอันนี้จะทนน้ำมากกว่า
– ทุบห้องและกั้นห้องใหม่
Before-After
.
จริงๆ ชั้น 2 ไม่ค่อยได้ built-in อะไรมากเท่าไร เพราะจะเป็นพื้นที่ Living area และห้องนอนสำหรับเวลาที่บ้านมานอน
ที่ใช้ built-in จะมีแค่ชั้นวางทีวีและตู้เก็บหนังสือ แล้วก็ตู้เสื้อผ้า/โต๊ะเครื่องแป้ง ส่วนอื่นๆก็จะเป็นเฟอร์นิเจอร์ลอยตัว
.
.
แต่ข้างหลังโซฟา โต๊ะทำงานอันนี้ ยังรอ built-in ตู้โชว์วางกันดั้มของคนข้างตัวอยู่ค่ะ -_-‘ รอคิวนานมากกก โชคดีจะได้คิวเร็วๆ นี้ หวังว่าจะเสร็จภายในเดือนหน้า
.
สุดท้ายนี้ชั้น 3
ห้องนอนของเราเองค่ะ
ทุกวันนี้ การอยู่ชั้น 3 คือแค่เดินขึ้น-ลง ก็เหมือนคาร์ดิโอในตัว แรกๆไม่ค่อยชิน ตอนนี้เริ่มจะชินแล้ว พยายามคิดให้รอบคอบก่อนขึ้นลงแต่ละครั้ง ไม่งั้นต้องเสียพลังงานมาก
จะเป็นห้องที่อยู่มากที่สุดในบ้าน คิดเยอะว่าจะทำออกมายังไงดีให้ได้ฟังชั่นครบ สุดท้ายทำออกมาได้ตามแบบที่คิดไว้เกือบ 95% ขาด 5% คือแบบที่ต้องปรับหน่อยกับสีที่เปลี่ยนไป ตอนแรกอยากให้ห้องเป็นอีกสีนึง ช่างดันเลือกสีมาให้ผิด แต่ก็…ไม่ได้แย่มาก ถ้าแก้ ต้องแก้เยอะ เพราะช่างทำไปเกินครึ่งแล้ว เลยเลยตามเลยละกัน ^^
.
After
ก่อนหน้าจะเริ่มตกแต่ง ห้องนี้เป็นห้องโล่งๆ พื้นเดิมเป็นลามิเนตลายไม้สีเข้มแบบชั้น 2
– เปลี่ยนพื้นใหม่ คราวนี้เลือกเป็นไวนิลเหมือนกัน แต่ปูแบบฟันปลา herringbone pattern เพราะทำให้นึกถึงบรรยากาศตอนอยู่ปารีส ^^ จริงๆ อยากได้พื้นชั้น 2 และห้องอื่นๆเป็นลายนี้ด้วย แต่คำนวนแล้วงบจะเกิน เอาแค่ห้องนี้ห้องเดียวละกัน
เนื่องจากพื้นที่ห้องไม่ได้ใหญ่มากนัก เลยเปลี่ยนจากประตูผลักเปิด-เปิด เป็นประตูเลื่อน อยากได้พื้นที่ตู้เสื้อผ้าเยอะๆเลยทำหน้าบานเป็นกระจกเงาเต็มสูง 2.6 ม. สีชาตัดขอบ pink gold เพื่อหลอกตาให้เนื้อที่ใส่ตู้ไปแล้วดูไม่อึดอัดมากนัก
.
.
.
.
แล้วก็จะมีเรื่องห้องน้ำค่ะ ปรับปรุงปูพื้นกระเบื้องใหม่ กับปรับห้องน้ำชั้น 3 ในห้องนอนเรา เพราะจะเป็นห้องน้ำที่ใช้ทุกวัน เปลี่ยนชักโครก เปลี่ยนอ่างล้างหน้า ให้มีที่เก็บของมากขึ้น
ส่วนห้องน้ำอื่นๆ ในบ้าน ยังพออยู่ในสภาพใช้งานได้ ไม่ได้ทำอะไร นอกจากก่อธรณีประตู แล้วก็ใส่กระจกกั้นอาบน้ำค่ะ
บ้านหลังมี 4 ห้องน้ำ 3 ห้องอานบ้ำ ก่อนหน้านั้นโครงการไม่ได้กั้นกระจกอาบน้ำมาให้ ให้ท่อน้ำทิ้งในห้องน้ำมีแค่ที่เดียว -_-‘
โครงการแอบมักง่าย อุดท่อน้ำทิ้งอีกอัน เลยลำบากช่าง พอเรามาก่อธรณีประตู แล้วกั้นกระจกอาบน้ำ กั้นส่วนเปียกส่วนแห้ง เลยต้องให้ช่างนั่งคลำหาท่อน้ำทิ้งอีกอันอีกฝั่ง และเล็งให้ตรงจุด เพื่อไม่ให้ต้องเปลี่ยนกระเบื้องทั้งพื้น อันนี้ก็ต้องขอบคุณช่างด้วยที่ทำให้ได้จนสำเร็จ
หมดแล้วว ….. งบอะหมดแล้ว โดยรวมๆๆ ก็จะได้ประมาณนี้ค่ะ
นอกจากนี้ การตกแต่งบ้านและทำบ้านมีค่าอื่นๆ จิปาถะยิบย่อย ที่ราคาไม่น่ารักเลยอีกมากมาย
ที่บวกเพิ่มที่พอจำได้ คือ
– ค่าแอร์ติดใหม่ทั้งหมด 6 เครื่อง ถ้าไม่ได้ทำบ้าน จะไม่รู้เลยว่า mitsubishi electric กับ heavy duty เป็นคนละบริษัท ! หาข้อมูลมาเยอะในเน็ต ตัดสินใจไม่ได้ เอาไปเฉลี่ยๆ ทั้ง 2 ยี่ห้อเลย รอดูว่าต่อไปในอนาคตใครจะอยู่กับเราแบบมีปัญหาน้อยสุดกันกัน ^^
– ค่าการทาสีภายในบ้านทั้งหลังและภายนอก 2/3
– การเดินไฟ เพิ่มปลั๊ก ย้ายปลั๊กใหม่ ฯลฯ
– เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ทีวี 3 เครื่อง เตาอบ เตาไฟฟ้า ฮู้ด ฯลฯ
– ติดฟิล์มกันร้อน
– ติดม่านทั้งหลัง
– ติดมุ้งลวด
– เฟอร์นิเจอร์ลอยตัวต่างๆ โซฟา 2 ตัว โต๊ะกินข้าว เก้าอี้ โต๊ะทำงาน เก้าอี้แต่งหน้า เก้าอี้เคาท์เตอร์ เตียง x 3 ฟูก x 3 และของตกแต่งอีกร้อยแปดพันเก้าร้อยอย่าง ^^
เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตมีค่า ….ค่าใช้จ่ายเรื่องบ้านบานนนนสุดๆๆๆ
เป็นช่วงสมัครบัตรเครดิตเป็นของตัวเองพอดี สะสมคะแนนได้ยอดเยอะมากก บัตรใบไหนมีโปร ยิ่ง cashback เราก็ไม่พลาด ได้คูปองส่วนลดมาเยอะมาก แต่เงินที่เสียไปก็เยอะมากเหมือนกัน
ช่วงนั้น ถ้าไม่ได้เจอที่ทำงาน ที่บ้าน ก็จะไปเดินอยู่บุญถาวร รัชดา โฮมโปร ลาดพร้าว index เดอะวอล์ค เกษตร-นวมินทร์ IKEA แล้วก็พวกงาน fair ต่างๆ บ้านและสวนเอย งานแฟร์เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ bitec bangna impact เมืองทองธานี ไปหมด แทบไม่พลาดซักงาน
เดินทุกแผนกจนคิดว่าพนักงานน่าจะจำหน้าเราได้ละ 5555
ตัวอย่าง อันนี้โคมไฟตรงโถงบันไดค่ะ ได้มาตอนลดโปรโมชั่นอยู่พอดีที่บุญถาวร
ระหว่างสถานการณ์วิกฤติ Covid-19 ช่วงนี้ เรายังโชคดียังไม่โดนผลกระทบ (ทางตรง) แต่ในอนาคตต้องมีโดนทางอ้อมแน่ๆ ได้รับผลกระทบทุกภาคส่วน ต้องปรับตัวกันไป ทำให้ต้อง Work from home ข้อดีคือได้อยู่บ้านมากขึ้น ก็รู้สึกดีมากๆ ที่ทำบ้านเสร็จทันอยู่ช่วงการระบาดแบบนี้พอดี
คิดว่าถ้าเช่าอยู่คอนโดเหมือนแต่ก่อน น่าจะค่อนข้างหดหู่หน่อยๆ เพราะห้องคอนโดที่เคยอยู่ไม่ใหญ่มาก ประมาณ 40 ตรม. แต่ของเยอะมาก ส่วนกลางอะไรก็ปิดอีก มาช่วงโควิดนี้ได้ค้นพบกิจกรรมใหม่ๆ ที่เรา enjoy และไม่คิดว่าตัวเองทำได้คือการปลูกต้นไม้ เมื่อก่อนปลูกอะไรก็ตาย กระบองเพชรก็ตาย ทยอยซื้อต้นไม้มาเรื่อยๆ
จนตอนนี้อยู่ด้วยกันมาประมาณเกือบ 3 เดือน มีตายไปบ้าง อนุบาลได้บ้าง ที่ทำตายไปคือ ไทรใบสักและพุดศุภโชคเข้าใจว่ารากเน่า เพราะเป็นต้นแรกๆที่ได้มา รดน้ำมากเกินจนรากเน่า
ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าถ้าเราให้เวลาและทำความเข้าใจกับน้องต้นไม้ ดูดินดูอะไร ศึกษาธรรมชาติความต้องการของต้นนั้นๆ น่าจะพอเลี้ยงน้องรอด เลยฮึกเหิมหันมาปลูกต้นไม้ในกระถางและทำสวนแนวตั้ง เพื่อเพิ่มสีเขียวในบ้าน โดยไม่รบกวนพื้นที่ในการจอดรถ ลานจอดรถต้องใช้จอดรถในบ้านต้องจอดได้ 2 คัน
.
.
วิวที่ตัดสินใจทำให้ต้องเป็นบ้านหลังนี้ เพราะข้างหน้าบ้านไม่ติดบ้านคนอื่น แต่เป็นสวนสาธารณะหมู่บ้านเล็ก ไม่มีบ้านตรงข้ามค่ะ
.
สรุป งบประมาณ
ราคาบ้าน x,xxx,xxx บาท ปลายๆ บวกรีโนเวทต่อเติมตกแต่ง อีกประมาณ 2,xxx,xxx บาท รวมเป็น xx,xxx,xxx บาท ต้นๆค่ะ
สิ่งที่ได้จากการทำบ้านหลังนี้ 2 ข้อใหญ่ๆ คือ
1. ขอบคุณครอบครัวและที่บ้านที่ให้การสนับสนุนทุกๆอย่าง เชื่อใจและก็ไว้ใจให้ เด็ก(ถึงแม้อายุเราจะเลยวัยเบญจเพศมาหลายปีแล้ว แต่เราเด็กเสมอในสายตาผู้ใหญ่ ฮ่าๆ) อย่างเราได้ดูแล ออกแบบทำบ้านหลังแรกนี้ได้ตามที่เราต้องการ ได้รู้ขั้นตอนการรีโนเวทตกแต่งบ้าน
เมื่อเราไม่มีผู้รับเหมาคนกลาง คอยช่วยคุมช่าง เราก็ต้องเรียนรู้ หาข้อมูลทุกอย่างและรับมือกับปัญหารูปแบบต่างๆ จากช่างรับเหมาเอง ต้องดูเรื่องเอกสาร สัญญา ทำบัญชี ดูงบเข้าดูหน้างานบ้านเอง เลือกวัสดุเอง ก็ดราม่าคนเดียวอยู่พักนึง อยากให้ทุกอย่างเนี้ยบเรียบร้อยกริบ
ทุกปัญหาในพันทิปหรือในอินเตอร์เน็ตที่เคยอ่านเจอ ก็เจอแทบทุกอย่างในชีวิตจริง คุยอีกอย่างได้อีกอย่าง เอาวัสดุที่ไม่ดี บลา บลา ฯลฯ ยกเว้นปัญหาเดียวที่ยังโชคดีไม่ได้เจอ คือช่างไม่ทิ้งงาน ภูมิใจในตัวเองที่ผ่านพ้นทุกอย่างมาได้ ทุกปัญหาย่อมมีทางออก แม้บางครั้งอาจจะไม่ใช่ทางออกที่เราคิดไว้ แต่ยังไงมันก็มีทางแก้เสมอ
สิ่งที่รู้สึกว่าโชคดีมากที่สุดเลย คือด้วยที่บ้านไม่สนับสนุนการผ่อนใดๆ ทั้งสิ้น รวมการผ่อนบ้าน (ยกเว้นพวกบัตรเครดิตที่มีโปร 0%) ทำให้ไม่มีหนี้หรือภาระใดๆ กับสถาบันการเงินทุกประเภท (นอกจากใช้คืนที่บ้าน) เรียนรู้พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีค่ะ
2. ระหว่างการทำบ้านหลังนี้ ในชีวิตก็เกิดเรื่องมากมาย 1 ปีกว่าๆ เรื่องที่เสียใจก็มา ชีวิตได้พบกับความสูญเสียครั้งใหญ่อีกครั้งนึง เหตุผลที่ตกลงซื้อบ้านหลังนี้เพราะคำว่าครอบครัว อยากให้ที่บ้านมีที่พัก อยู่สะดวกเวลาครอบครัวจากต่างจังหวัดมาที่กทม. มีพื้นที่ ให้นอนพักผ่อน
ที่บ้านเลยสนับสนุนตรงนี้ เสียดายที่เริ่มการรีโนเวทบ้านช้าไป บ้านเลยเสร็จไม่ทัน คุณป้าใหญ่ (แม่คนที่ 2ของเรา) ต้องจากไปก่อนด้วยโรคร้าย เสียใจมากๆ เคว้งอยู่พักใหญ่ ตอนนี้ก็เริ่มทำใจได้มากขึ้น พยายามคิดถึงสัจธรรมของชีวิต พยายามปล่อยวาง คิดซะว่า เค้าไม่ได้ไปไหนไกล ร่างกายตัวอาจจับต้องกันไม่ได้แล้ว เพราะกายสังขารไม่เที่ยง แต่ความทรงจำ ความดีต่างๆ ของเค้ายังอยู่ เราแค่ย้ายให้เข้ามาอยู่ในใจเราเท่านั้น
ต่อไปก็พยายามใช้แนวคิด นำสิ่งที่มีอยู่มาต่อยอดให้ชีวิตได้เดินทางต่อไปได้สะดวก เก็บออมเพื่อครอบครัวอนาคตของเราเอง
ที่มา : Femmemy .