ความรักเป็นเรื่องที่ไม่แน่ไม่นอนจริงๆ นะคะ สำหรับคนที่รักกันแล้วต้องมาเลิกกันภายในเวลาสั้นๆ ก็ว่าเจ็บปวดแล้ว แต่คนที่รักกันมาเป็นเวลาหลายปีแต่ต้องมาเลิกกัน แถมยังวางแผนครอบครัวไว้ ลงทุนสร้างเนื้อสร้างตัวร่วนกันมาอย่างดิบดี มันยิ่งเจ็บปวดมากกว่า
เช่นเดียวกับเรื่องราวของคุณ สมาชิกหมายเลข 4422065 สมาชิกเว็บไซต์พันทิพ ที่ได้มาแบ่งปันเรื่องราว “เลิกกับแฟนตอนซื้อคอนโดฯ ร่วมกันแล้ว” เป็นระยะเวลา 3 ปี ไม่น้อยหรือไม่มาก แต่ก็ถึงขั้นร่วมกันซื้อทรัพย์สิน ซึ่งก็คือคอนโดมิเนียมเป็นของตัวเองแล้ว แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องแยกจากกัน เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปติดตามกันเลยค่ะ
อยากแชร์ประสบการณ์เลิกกับแฟนตอนซื้อคอนโดด้วยกันแล้ว (คอนโดเป็นชื่อเธอ)
(โดย สมาชิกหมายเลข 4422065)
ใครที่เป็นแฟนกันอยู่ แล้วมีแผนกำลังจะซื้อบ้านหรือคอนโดด้วยกันแล้ว อยากแชร์ประสบการณ์ให้ฟัง แล้วลองคิดดูให้ดีว่าคุณแน่ใจแล้วใช่ไหม
ตอนต้นปี 2557 ผมมีแฟนที่คบกันได้มา 3 ปี ตอนนั้นผมกำลังจะย้ายงานไปบริษัทเดียวกับเธอ เราจึงตัดสินใจซื้อคอนโดด้วยกัน โดยชื่อเจ้าของเป็นชื่อของพ่อเธอกับเธอร่วมกัน (พ่อเธอเป็นราชการ ได้สิทธิ์กู้ของออมสินโดยไม่ต้องตรวจบูโร เลยกู้ผ่านง่ายมาก) จากนั้นเราก็ผ่อนเดือนละ 2 หมื่นกว่า หารครึ่งมาตลอด
ผ่อนมาได้ราว 3 ปี แฟนผมเธอเริ่มสนิทกับผู้ชายคนนึงที่อยู่แผนกใกล้กัน ทั้งที่ผมก็ทำงานอยู่บริษัทเดียวกัน แต่อยู่คนละชั้น ผมเองไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเชื่อใจแฟนมาก (แฟนผมเคยนอกใจมาแล้วครั้งนึง เลยไว้ใจ ไม่คิดว่าเธอจะนอกใจอีก เพราะตอนนั้นเธอฟูมฟายง้อให้ผมกลับไปคืนดีมาก) บางครั้งผมเห็นตัวผู้ชายก็กางร่มให้แฟนผม ก็ยังอุตส่าห์โง่ไม่คิดอะไรอีก 5555 ทั้งที่จริงๆ คนรอบข้างผมส่งซิกให้ผมตลอดว่า คู่นี้มีซัมติงกันแน่นอน แต่ตอนนั้นก็เชื่อใจแฟนมากครับ ใครมาแกล้งแหย่ถาม ก็ตอบไปตลอด อ๋อ คู่นี้เขาสนิทกัน
จนมาวันนึงพี่ที่อยู่ในแผนกเดียวกับผู้ชายที่กิ๊กแฟนผม เขาทนไม่ไหว ขึ้นมาบอกกับผมว่า สองคนนี้มีอะไรกันแน่นอน คืนวันนั้นพอกลับถึงคอนโดของเรา ผมเลยถามเธอตรงๆ เธอบอกว่าเธอไม่มีความรักให้ผมอีกแล้ว มีแค่สงสารเท่านั้น ผมก็เลยต้องจำใจยอมเก็บข้าวของเดินออกมา
วันแรกๆ ก็เก่งครับ ทำเป็นไม่รู้สึกเสียใจเลย แต่พอเจอหน้าพ่อบอกกับพ่อเท่านั้นแหละครับ บ่อน้ำแตกเลย 5555 (แต่แปลกอยู่กับแม่ผมไม่ร้องไห้สักแอะ) หลังจากนั้นก็เสียศูนย์ไปอยู่ 3-4 วัน แต่กำลังใจดีครับ เพื่อนพี้น้องที่บริษัทให้กำลังใจ ลูกน้องเด็กๆ ยังให้กำลังใจ บอกพี่ห้ามลาออก พี่ไม่ได้ทำอะไร อยู่สู้หน้ามันไว้ 555 หรือบางคนที่อยู่คนละแผนกไม่เคยคุยกัน ยังโทรเข้าโต้ะที่ออฟฟิศมาให้กำลังใจแบบงงๆ รวมถึงเจ้าของบริษัทพอทราบเรื่องผม ท่านก็เรียกให้ผมขึ้นไปพบด้วย แต่ผมปฏิเสธท่านไปครับ เพราะกลัวจะบ่อน้ำตาแตกอีก
เสียศูนย์ไปอยู่พักนึง ก็เริ่มเห็นว่า คนรอบข้างเราเขาสงสารเรามากๆ โดยเฉพาะแม่ที่เป็นห่วงผมมาก ก็เลยมีฮึด กลับมาดูแลตัวเอง (ตอนโดนทิ้งผมอ้วนด้วยครับ) ก็เลยเริ่มเข้าฟิตเนส หาไรทำไปเรื่อย ส่วนเรื่องคอนโดก็เลยไปผ่อนดาวน์คอนโดใหม่ ซึ่งที่บ้านสนับสนุนเต็มที่ ตัวผมเองก็อยากมีสินทรัพย์เป็นของตัวเอง เป็นชื่อของตัวเอง คราวหน้าต่อไปจะได้ไม่มีปัญหาอีก
ถึงจะโดนทิ้งแต่จากนั้นชีวิตก็ดีขึ้น แถมที่ออฟฟิศก็ปรับตำแหน่งให้ผมขึ้นอีกต่างหาก เพราะผู้บริหารชื่นชมผมที่นิ่งพอ แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ ไม่ทำอะไรที่ไม่ถูกไม่ควร (แต่จริงๆ รู้สึกเหมือนแพ้ให้กิ๊กเธอจริงๆ อะครับ เลยไม่ได้คิดจะโวยวายอะไรมาก) ส่วนคู่นั้นก็ต้องออกจากที่บริษัทไป เพราะว่าคนแผนกอื่นๆ ก็ตั้งแง่มีอคติกับคู่นั้นเกือบทุกคน
ปัจจุบันเรื่องนี้ผ่านมาสองปีแล้วครับ ผมเองก็มีแฟนใหม่เรียบร้อยแล้ว ชีวิตดีขึ้นเยอะ ส่วนเรื่องคอนโดเก่าสรุปว่า แฟนเก่าขายไป พอผมทวงถามเรื่องเงินส่วนแบ่ง เธอบอกขอคิดเป็น “ค่าเช่า” ไปซะงั้น และขอที่จะไม่แบ่งเงินที่ขายได้ให้ผมเลยสักบาท
นี่แหละครับ เรื่องเงินไม่เข้าใครออกใคร แฟนรักกันแค่ไหน สุดท้ายถ้าเลิกกันก็เป็นคนอื้น ตอนรักกันผมนอนกรนเธอยังชอบเลยครับ แต่ตอนไม่รักกันที่ยืนหายใจเงียบๆ ยังผิดเลย 555
ฝากเป็นอุทธาหรณ์นะครับ คนที่เป็นแฟนกันแล้วกำลังตัดสินใจจะซื้ออะไรร่วมกัน คิดดีๆ ทุกวันนี้ผมแนะนำเพื่อนพี่น้องผมเสมอให้ดูผมเป็นตัวอย่าง เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาพลาดแบบผมอีกครับ…
และนี่ก็คือเรื่องราวของชีวิตคู่ที่ไม่หวัง แต่คุณเจ้าของกระทู้ก็สามารถเริ่มต้นใหม่ได้อย่างเข้มแข็ง ยังไง ในบ้าน ก็ขอเป็นกำลังให้กับคนที่เพิ่งเลิกกับแฟนทุกคนนะคะ และหวังว่าเรื่องราวการซื้อคอนโดฯ ร่วมกันครั้งนี้ จะเป็นอุทาหรณ์ให้กับคู่รักทุกคู่
ที่มา : สมาชิกหมายเลข 4422065 .