ความฝันในการที่จะเป็นเจ้าของกิจการของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป บางคนอาจจะอยากเปิดร้านอาหาร บางคนอยากเปิดร้านกาแฟ บางคนอยากเปิดร้านสะดวกซื้อ และบางคนก็อาจจะอยากเปิดร้านดอกไม้สวยๆ
คราวนี้ ในบ้าน ก็มีตัวอย่างความฝันที่สำเร็จสมบูรณ์มาให้ชาวเว็บได้ชมเป็นแรงบันดาลใจกัน โดยจะเป็นรีวิวร้านขายดอกไม้ ของคุณ Preeya May Panthuprayoon ที่ได้เปลี่ยนจากโรงรถเก่าๆ ให้กลายมาเป็นร้านขายดอกไม้ธีมสีขาวบรรยากาศน่าเข้าสุดๆ ลองไปชมกันดูครับ สวยน่ารักดีทีเดียว
Review : เปลี่ยนโรงรถเก่าๆ ให้กลายเป็นร้านขายดอกไม้สีขาวแสนสวย
(โดย แก้วกาสะลอง)
สวัสดีค่ะ
เราก็เป็นคนที่มีความฝันเหมือนคนอื่นๆ และค่อยๆ พยายามไล่ตามความฝันของตัวเองทีละฝันๆ
จนมาถึงความฝันสุดท้ายที่ยังไม่พร้อมจะทำสักที จนกระทั่งเริ่มอายุมากขึ้น จำเป็นต้องหักดิบ
รีบกลับบ้านมาทำตามความฝันในตอนที่ร่างกายยังสู้ไหวค่ะ
เห็นรีวิวหรือรีโนเวทมาตลอดและแอบชื่นชมเงียบๆ วันนี้มีโอกาสได้โพสบ้าง เชิญติดตามกันได้เลยค่ะ
เราเป็นคนต่างจังหวัดค่ะ ทำงานในกรุงมาตั้งแต่เรียนจบนับเป็นสิบปี
ใช้ชีวิตเร่งรีบจนมาเห็นวิถีชีวิตของเมือง…น่าน เนิบเนิบ แล้วก็ชักจะติดใจความสโลวไลฟ์
คือ…เราปลูกบ้านที่ จ.น่าน มายี่สิบกว่าปีแล้วค่ะ แต่เราเติบโตและเรียนที่ จ.แพร่
การมาทำธุรกิจในจังหวัดที่ไม่ค่อยมีเพื่อนและคนรู้จัก ก็ถือว่าเป็นเรื่องลำบากมากทีเดียว
ตอนที่เริ่มจะทำร้านดูไว้หลายทางเลือกมาก ทั้งซื้อตึก ซื้อที่ เช่าตึก เช่าบ้าน
แต่ด้วยงบประมาณและหลายๆสิ่ง หลายๆ อย่าง จนมาสรุปจบลงที่ทำร้านในรั้วบ้านนี่แหละ
ซึ่งง่าย สะดวก แต่จะหนักและลำบากในการทำร้านให้เป็นที่รู้จักและการเป็นที่จดจำค่ะ
โชคดีเหมือนกันที่บ้านค่อนข้างมีบริเวณ คุยกับพ่อแม่แล้วก็ตัดสินใจใช้โรงรถเดิม ก่อสร้างขึ้นป็นร้าน
ซึ่งเราก็มีแบบอยู่ในใจนานแล้วว่าอยากทำแบบนี้
ซึ่งพอได้ใช้โรงรถจริงๆ มันก็สามารถจะทำภาพอย่างที่หวังเกิดขึ้นได้
ขอบคุณภาพสวยๆ จาก Pinterest ค่ะ เราเริ่มต้นคุยและเตรียมช่วงต้นปีนี้ค่ะ จากโรงรถโล่งๆ ก็เริ่มก่อสร้าง โดยคุณแม่ให้ช่างมาเจาะรั้วข้างบ้านทำประตูบ้านใหม่และทำโรงรถแห่งใหม่
จากนั้นก็เริ่มทำฟ้าเพดาน โดยเลือกใช้แผ่นฝ้าเพดานลายไม้
หลังจากนั้นก็พักไปยาวมาก สล่า(ช่าง) ไม่ว่าง
กลับบ้านอีกครั้งช่วงสงกรานต์ก็ยังมีแต่ฝ้าเพดานอยู่ค่ะ ฮ่าๆ
เริ่มมาทำผนังในช่วงเดือนมิ.ย. โดยช่างวางโครงเหล็กก่อนจะก่อ ใช้วิธีก่ออิฐโชว์แนวค่ะ
ขณะที่ก่อกันอยู่นั้นช่างไฟก็เข้ามาเดินสาย เจาะฝ้าเพดานสำหรับติดไฟงานก่อสร้างดูเหมือนไม่มีอะไรมาก แต่ใช้เวลานานทีเดียวค่ะ
สล่าเป็นสล่าที่สร้างบ้านให้เราเอง ใจเย็น ทำงานละเอียดมากๆ ค่ะ ถือว่าฝีมือไว้ใจกันได้
ในที่สุดก็เสร็จค่ะ เก็บงานแล้วก็เตรียมทาสี ตอนเลือกสีนี่เรียกได้ว่ามันคือปัญหาครอบครัว ฮ่าๆ
คือเราต้องการให้ภาพของร้านมันออกมาคลีนๆ ซึ่งตอนแรกช่างสีแนะนำให้ทาสีอิฐตัดเส้นขาว แต่เราเองยืนยันที่จะใช้สีขาวด้านธรรมดาค่ะ จุดนี้แหละค่ะที่ต้องดื้อกับแม่เพราะท่านกลัวว่ามันจะเปื้อนง่ายแม่อยากให้ใช้สีกึ่งเงามากกว่า ซึ่งเราไม่ยอมและยืนยันแนวคิดเดิม
สุดท้ายก็ได้สีขาวด้านสมใจ และปัญหาก็เกิดขึ้นจริงๆ
เนื่องด้วย…หลังคาร้านค่ะ ด้านฝั่งประตูและหน้าต่างร้านค่อนข้างชายคาสั้น
เวลาฝนตกมันจะทำให้เศษความสกปรกบนพื้นคอนกรีตกระเด็นมาเปื้อนผนังปูนสีขาว
ต้องขยันล้างออกทุกครั้งหลังฝนตกค่ะ ถ้าบ่นเรื่องนี้กับแม่แน่นอนว่าถูกซ้ำเติมแน่ๆ ฮ่าๆปัญหาอีกอย่างก็คือ สีร้านสวยแล้ว แค่หลังคานั้นดูไม่ได้เลย
จนใครที่มาเห็นก็แซวกันทุกคนว่าทำร้านซะสวยแต่หลังคาขึ้นรา ฮ่าๆ แม่เลยชวนว่า ‘เราทาสีหลังคากันเถอะลูก’
เราก็เลยเลือกสีที่เข้ากับสีร้านให้คุมโทนสะอาดและเย็นตามากที่สุด นั่นก็คือสีเทานกพิราบ นั่นเองค่ะ หลังจากทาสีแล้วก็เป็นส่วนกระจก จะเห็นว่าช่วงที่ทาสีใหม่ๆ กระจกมาติดไปแล้วส่วนหนึ่ง
ร้านเรานี่เรียกได้ว่ามันคือห้องกระจกดีๆ นี่เองค่ะ เพราะใช้กระจกติดตายทั้งหมดเกือบทุกด้าน
ยกเว้นแค่ประตู กับหน้าต่างบานยาวแค่ด้านเดียวเท่านั้นค่ะ
มีกระจกส่วนหนึ่งที่ค่อนข้างทำเอาเราขาสั่นไปเลยทีเดียว
เนื่องจากเราเลือกใช้กระจกอินซูเลทหรือกระจกสองชั้น
ซึ่งต้องสั่งจากโรงงานมาตามขนาดบานที่ติดตายด้านโซนหน้าร้านค่ะ
ราคาก็สูงเอาการเลยค่ะ เพราะเป็นส่วนที่ใช้กระจกทั้งหมด 5 บาน
คือบานใหญ่สอง บานเล็กสาม (ที่เหลือส่วนอื่นใช้กระจกกรองแสงธรรมดา)
ตอนติดกระจกนี่ปัญหาเยอะเหมือนกันค่ะ ใช้เวลาหลายวัน
อย่างแรกคือช่างติดประจกทำประตูเราแหว่ง
สองคือ…ช่างติดกระจกสองชั้นผิดด้าน
คือทางโรงงานเขาจะมีสติ๊กเกอร์กำหนดมาให้ว่าให้หันด้านไหนออกข้างนอก ถามผู้รู้ก็บอกไม่เป็นไร ด้านไหนก็ได้
แต่พ่อเราไม่โอเคค่ะ ก็เลยต้องเรียกช่างมากลับด้าน ติดกระจกกันใหม่อีกครั้ง
ซึ่งตอนย้ายนี่ลุ้นใจหายวาบเลยทีเดียว เพราะกระจกบานใหญ่และแพง ช่างต้องอาศัยความระมัดระวังมากเลยค่ะ ตอนที่ติดกระจกทั้งร้านเสร็จหมดแล้ว ปัญหาต่อมาก็คือ…ความร้อนและอากาศไม่ถ่ายเทค่ะ
จากที่ต้องปิดประตูหน้าต่างช่วงที่ปิดร้านจนกระทั่งเช้าเปิดร้าน ทำให้เกิดความอับเล็กน้อยค่ะ
ซึ่งน้องสถาปนิกที่ปรึกษาเคยเตือนแล้วว่าร้อนแน่ๆ และก็ร้อนจริงๆด้วยค่ะเพราะอากาศไม่ถ่ายเท
นี่เป็นรูปห้องโชว์ด้านหน้าที่ติดกระจกบานใหญ่ค่ะ
ช่างกระจกบอกว่า…ยังไม่มีร้านไหนสู้ราคากระจกตัวนี้เลยค่ะ เขาติดให้ร้านเราร้านแรกในที่สุดก็เสร็จค่ะ ร้านเรา
พอทาสีเสร็จแล้ว และรอติดกระจก อยู่ในช่วงเดือนกันยายน ตอนนั้นเรายุ่งมาก
ช่วงนั้นคือลาออกจากงานประจำ ขนของกลับบ้าน คือกว่าจะตั้งหลักได้ใช้เวลาหลายวันเลยค่ะ
ตอนที่ถ่ายนี่คือรอตกแต่ง ขนของเข้าร้านตามฤกษ์ ส่วนโซนนอกร้านขอพักยาวๆเลยค่ะ
งบก่อสร้างค่อนข้างบานนิดๆ ทุนที่พอมีอยู่เราจึงเก็บไว้เป็นงบหมุนเวียนร้านก่อนค่ะ ฮ่าๆ
หลังจากที่ใช้งบกับการก่อสร้างไปค่อนข้างมาก ทำให้งบตกแต่งลดลงไปโข
แต่เราโชคดีที่แม่เป็นมนุษย์แม่ที่บ้าสมบัติค่ะ โต๊ะเก้าอี้ที่มีอยู่จึงสามารถนำมาใช้ในร้านได้หมด
เก้าอี้ที่เราจะเอามาใช้ในร้านของเราก็เป็นเก้าอี้ไม้ที่ใช้งานมานานจนเก่ามากแล้วค่ะ
เราให้พ่อทาสีขาวให้ใหม่ หาเบาะน่ารักๆ มารอง เป็นอันใช้ได้
ชุดโซฟาก็เป็นโซฟาหวายที่ซื้อมาตั้งแต่เราเกิด เอามาทาสีขาวเพิ่ม เข้าธีมร้านพอดีค่ะ ฮ่าๆ ปัญหาอีกอย่างที่เรายอมรับว่าโง่เองก็คือ โคมไฟระย้าค่ะ ซื้อมาโดยไม่ได้วัดความสูงของเพดาน
สุดท้ายโคมระย้าสุดหรู (ซื้อจากโฮมโปร) ของเราก็ต้องระเห็จไปอยู่ในบ้าน อดสวยเลยค่ะ อีกส่วนหนึ่งที่เราปวดหัวมากก็คือ…ตู้โชว์ค่ะ ร้านดอกไม้อย่างน้อยต้องมีตู้เพื่อโชว์สินค้า
เราถูกใจตู้แนววินเทจที่ต้องสั่งทำมากๆ แต่เราสู้ราคาและค่าขนส่งไม่ไหว ก็เลยตัดสินใจไปโฮมโปรค่ะ
ซื้อแผ่นไม้บอร์ดและเหล็กฉากมาทำชั้นติดผนังแทน ตอนติดไม่ได้พยายามเหลื่อมชั้นให้สวยงามอะไรเลยค่ะ
เน้นความเรียบง่ายเอาไว้ก่อน ติดแบบตรงๆ ธรรมดา เอาไว้มีงบเมื่อไรค่อยจัดการส่วนนี้ทีหลังค่ะ
ส่วนตู้เก็บของก็เอาตู้ไม้อัดที่บ้านมาทาสีเขียวอ่อนๆ แต่ก็สวยใช้ได้ค่ะ อีกจุดที่สำคัญเมื่อเปิดร้าน ก็คือโลโก้ร้านค่ะ
เนื่องจากเราทำร้านให้เป็นคล้ายๆ สตูดิโอ คือเป็นห้องทำงานศิลปะ (การจัดดอกไม้คือศิลปะ)
และเราก็เป็นคนชอบถ่ายรูป โดยเฉพาะการถ่ายรูปดอกไม้ เราจึงต้องมีฉากสำหรับการถ่ายรูป
เราจึงเอาโลโก้ชื่อร้านมาไว้ภายในร้านแทนค่ะ ส่วนนี้เราสั่งช่างไม้เกลาตามตัวหนังสือที่ออกแบบไว้
คนติดโลโก้ก็ตัวเราเองนี่แหละ กว่าจะติดเสร็จก็เป็นวันค่ะ วัดแล้ววัดอีก ที่มาของชื่อร้านก็ไม่มีอะไรมากค่ะ เราเอาชื่อของคุณนายแม่มาตีความร่วมกับความหมายของชื่อท่าน
แล้วนำมาใช้เป็นชื่อร้านเลยค่ะ ง่ายๆ มีความหมายเกี่ยวกับดอกไม้ด้วยค่ะ
ตอนนี้…เวลาผ่านมาเกือบสองเดือนแล้วค่ะทีเปิดร้านอย่างเป็นทางการ
พอร้านเปิด ได้เริ่มจัดดอกไม้จริงจัง เราก็พยายามจะไม่ให้รก (เพราะร้านดอกไม้ส่วนมากจะรก)
เน้นให้ลูกค้าเข้ามาเจอความโล่ง โปร่ง สบายตา สว่าง สดใส คลีน และน่าเข้ามาเยี่ยมชม ห้องกระจกหน้าร้านเราเน้นโชว์สินค้าที่เรามี
โชคดีที่มีลูกพี่ลูกน้องเป็นช่างเหล็กค่ะ ให้พี่ทำสเตทวางดอกไม้ผ้าเป็นชั้นๆ
เน้นให้มองเห็นความสวยงามของดอกไม้ และสามารถเลือกซื้อดอกไม้ที่ถูกใจได้ค่ะ ในส่วนของตู้แช่ซึ่งราคาสูงเอาการเพราะต้องสั่งตู้แช่ดอกไม้โดยเฉพาะมาจาก กทม.
ทั้งราคาตู้และค่าขนส่งก็เอาเรื่องอยู่ค่ะ แต่มันก็จำเป็นมากๆ สำหรับใช้แช่ดอกไม้สด
ประตูเข้าร้านค่ะ เราชอบมากกก เป็นประตูบ้านในฝันเลยค่ะ
อีกหน่อยจะปลูกซุ้มไม้เลื้อยสร้างร่มเงากับเพิ่มความอ่อนหวานให้มากกว่านี้ค่ะ ถอยออกมามองเข้าไปในห้องโชว์ผ่านกระจกสองชั้นบานเล็ก ห้องค่อนข้างเล็กนะคะ
แต่เหมาะกับคนที่เดินเข้าออก ตัวเล็กๆ แบบเราพอดีภาพรวมด้านนอกของร้านในตอนนี้ค่ะ เริ่มมีกระถางต้นไม้มาประดับแล้ว
แต่ใบไม้ส่วนมากคือปลูกใบที่สามารถใช้ในงานจัดดอกไม้ล้วนๆเลยค่ะ ฮ่าๆ และในอนาคตเราจะค่อยๆ จัดสวน มีน้ำพุให้สวยงาม และปลูกไม้ใหญ่ให้ร่มเงามากกว่านี้ค่ะ
นี่คืออีกหนึ่งความภาคภูมิใจของเราค่ะ กับความฝันเล็กๆ ที่ตีเป็นราคาไม่ได้
ตอนนี้ผันตัวเองออกมาใช้เวลากับงานที่รักอย่างเต็มตัวแล้ว มีความสุขกว่าตอนทำงานประจำเยอะค่ะ
ฝากความฝันของเราด้วยนะคะ
ก่อนจากไป…เราอยากให้ทุกคนที่มีความฝันอย่าท้อ พยายามสู้ตามฝันของเรา
แล้วสักวันความฝันก็จะอยู่ในมือจนได้ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
ที่มา : แก้วกาสะลอง
Facebook : Preeya May Panthuprayoon