ปัจจุบันการทำงานของคนยุคใหม่มักจะเป็นงานออฟฟิศที่ต้องเข้ามาทำงานในเมืองใหญ่ ที่เต็มไปด้วยตึก และอาคารสูง ซึ่งยากที่จะหาความสงบจากเสียงรบกวนต่างๆ พื้นที่สีขียว ที่แย่ไปกว่านั้น ยังเต็มไปด้วยมลภาวะต่างๆ ในแต่ละวัน นั่นจึงทำให้หลายคนอยากจะมีชีวิตที่เรียบง่าย สงบ สบาย และใก้ลชิดกับธรรมชาติ
วันนี้ ในบ้าน จะพาเพื่อนๆ ไปชมเรื่องราวของคุณ xela ที่ผันตัวเองจากมนุษย์เงินเดือนจากเมืองใหญ่ที่มีรายได้ประจำกว่าครึ่งแสน มาเป็นเกษตรกรที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย และพอเพียง ใกล้ชิดกับธรรมชาติ เป็นการพึ่งพาตัวเองอย่างเต็มความสามารถ ถ้าเพื่อนๆ พร้อมแล้วเราไปชมเรื่องราว “การทำตามความฝัน กับเกษตรพอเพียง 180 ตารางวา” กันได้เลยครับ
ทำตามความฝัน กับเกษตรพอเพียง 180 ตารางวา
(โดยคุณ xela)
สวัสดีค่ะ จริงๆ เราเล่นพันทิปมานานมาก แต่ส่วนมากจะเข้ามาอ่านมากกว่า ช่วงนี้ได้ออกมาทำตามความฝัน 4 เดือนแล้ว ก็เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆ อ่านกันค่ะ
ที่ขึ้นจั่วหัวเรื่องแบบเปิดประเด็นแบบนี้ แปลว่ามันต้องมีที่มาที่ไปแน่นอน ให้คนลองพิจารณาเอาเองแล้วกัน ว่าเราบ้าอย่างที่เขาว่ากันหรือเปล่า
มาเริ่มเรื่องเลยดีกว่าค่ะ ตอนแรกเรากับสามีก็เป็นคนปกติ ที่ไปทำงานในบริษัทเหมือนคนอื่นๆ เป็นบริษัทรับทำคลังสินค้าและขนส่งขนาดใหญ่ มีหลายสาขา ชื่อบริษัทเป็นภาษาอังกฤษสามตัว ขึ้นต้นด้วยตัว D (แบบว่าเดายากมากเลย)
เราเป็นซุปเปอร์ไวเซอร์แผนกขนส่ง ส่วนแฟนเป็นซุปเปอร์ไวเซอร์แผนกปฏิบัติการ คนปกติจะเข้างานแปดโมงเช้า เลิกงานห้าโมงเย็น หรือถ้ามีโอทีทำก็เลิกสองทุ่ม หรือถ้าวันไหนเข้ากะดึก ก็เข้าสองทุ่ม เลิกงานตีห้า ถ้ามีโอทีทำก็เลิกแปดโมงเช้า
เงินเดือนออกทุกวันที่ 28 ของทุกเดือน เดือนไหนตรงวันเสาร์ อาทิตย์ ก็เลื่อนมาออกวันศุกร์ เงินเดือนสองคนรวมโอทีก็เกินครึ่งแสน บางเดือนขยันมากๆ ก็เกือบแสน เราใช้ชีวิตแบบคนปกติวนเวียนอยู่แบบนี้ห้าปี
เราเริ่มเป็นคนไม่ปกติตอนมาสนใจเรื่องการทำเกษตร อยากทำสวน ปลูกผัก เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ หนังสือที่ซื้อก็เปลี่ยนจากหนังสือแฟชั่นหัวนอก มาเป็นนิตยสารเกษตร เคล็ดลับการปลูกผักปลูกผลไม้ การทำเกษตรอินทรีย์ การทำน้ำหมักไว้ใช้เอง และบริโภคข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเกษตร เงินที่ซื้อกระเป๋ารองเท้าแพงๆ ก็เปลี่ยนเป็นซื้อต้นไม้ พันธ์ไม้ เมล็ดผักผลไม้มาสะสม
และตอนที่เรากลายเป็นคนบ้าก็คือ ตอนที่เราสองคนยื่นใบลาออกจากบริษัทเพื่อมาทำศูนย์เรียนรู้เกษตรพอเพียง ที่จังหวัดขอนแก่น ตอนนั้นใครได้รู้ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่าเราบ้าแน่ๆ บ้าแบบกู่ไม่กลับ คนที่ห่วงที่สุดก็คือพ่อแม่และครอบครัว เพราะรู้ว่าพวกเราไม่เคยลำบาก เคยทำงานในห้องแอร์สบายๆ วันๆ จับแต่ปากกาเซ็นต์เอกสาร จับคอมพิวเตอร์พิมพ์รายงานนิดๆ หน่อยๆ
แต่จะไปจับจอบจับเสียม จะทำได้ยังไง มีแต่จะไปไม่รอดตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว แต่เราสองคนก็ไม่เปลี่ยนใจ เพราะความตั้งใจเกินร้อยแล้ว โลโก้ที่คิดเอง ระหว่างที่ความตั้งใจพลุ่งพล่าน 555
สำหรับครอบครัว ข้ออ้างที่ดีที่สุดก็คือเรื่องสุขภาพ ของแถมที่ได้จากการเป็นคนปกติที่ทำงานบริษัทคือ
เราได้โรคออฟฟิศซินโดรม (อาการเจ็บป่วยจากการทำงานในสำนักงาน พวกปวดคอ ปวดหลัง) โรคกระดูกสันหลังเสื่อมหนึ่งข้อเพราะนั่งทำงานอยู่กับที่มากเกินไป โรคไมเกรน เพราะปวดหัวทุกครั้งที่ปริมาณงานเพิ่มขึ้นแบบไม่บอกกล่าว ทำให้ต้องหารถขนส่งมาใช้ให้เพียงพอ
ส่วนแฟนก็ได้โรคความดันโลหิตสูงเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ และโรคกล้ามเนื้ออักเสบ บางทีก็เครียดมากเพราะลูกน้องมีปัญหาไม่เข้าใจกัน บางทีก็ต่างแผนกไม่เข้าใจกัน มีแต่เรื่องให้เครียดเยอะแยะมากมาย พอบอกครอบครัวว่าเราอยากไปรักษาสุขภาพให้ดีขึ้น
แล้วถ้าไปไม่รอดจริงๆ ก็จะกลับมาทำงานใหม่ เพราะคิดว่าตอนนี้อายุยังไม่มากเท่าไหร่ แค่สามสิบต้นๆ ถ้าจะกลับมาเริ่มต้นชีวิตการเป็นพนักงานอีกครั้งก็น่าจะไหวอยู่ แต่ช่วงนี้ขอลามาพักผ่อนร่างกายสักพักก่อน แต่จริงๆ ความตั้งใจเต็มเปี่ยมมากกับการทำเกษตร แต่ต้องพูดให้พ่อแม่สบายใจไว้ก่อน โชคดีที่เราสองคนยังไม่มีลูก และพ่อแม่ก็ยังพอมีรายได้ของตัวเองอยู่ เราก็เลยตัดสินใจได้ง่ายกว่าครอบครัวอื่น
สำหรับคนอื่นๆ เราคิดแค่ว่าพวกเขาก็คือคนอื่นๆ เราจะไปห้ามความคิดใครไม่ได้และบังคับให้เขาคิดแบบเราก็ไม่ได้
สารพัดคำถามที่มีมา ตั้งแต่ว่าทำงานก็ดีอยู่แล้ว จะไปทำไร่ทำนาให้ลำบากทำไม หรือว่าคนทำเกษตรมีแต่จน ไม่มีใ มีแต่ทำแล้วจะอดตาย คำถาม คำพูดบั่นทอนกำลังใจสารพัด แต่เรากับแฟนคิดว่ามันคือแรงผลักดันที่เราต้องทำให้ได้มากกว่า
ใครจะเชื่อว่า แรงส่งสำหรับเราคือ รายการทีวีแค่รายการเดียว แต่เป็นรายการที่โคตรดี เราดูทีไร อยากลาออกจากงานวันละแปดรอบรายการดีๆ ที่ชื่อ รายการ “หอมแผ่นดิน”และตอนนี้ก็เป็นตอนที่เราชอบมาก ดูบ่อยที่สุด ลุงกับป้ายังทำได้ เราก็ต้องทำได้ https://www.youtube.com/watch?v=NlVDU4GauYg
สภาพบ้านตอนมาถึง นึกว่าหลงอยู่ในทะเลทรายซาฮาร่า ถ้ามีต้นกระบองเพชรล่ะก็ คงได้หาโอเอซิสอีกไกลเลย
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 วันอำลายูนิฟอร์ม เราสิ้นสุดสภาพการเป็นพนักงานและการเป็นคนปกติ คนบ้าสองคนหอบข้าวของที่มีแต่เสื้อผ้ากับต้นไม้อีกสองคันรถ กลับมาที่บ้านจังหวัดขอนแก่น ครอบครัวที่มาส่งได้แต่ถอนใจที่มาเจอแต่ความแห้งแล้งกับหญ้ารกเต็มบ้าน แต่เราตั้งใจว่าเราจะทำแล้ว เราต้องทำให้ได้ หรือถ้ามันไม่สำเร็จ ก็ยังภูมิใจที่ได้ลงมือทำ และถึงตายก็คงจะนอนตายตาหลับ
เราตั้งชื่อบ้านของเราว่า “บ้านสวนเบญจมงคล” มาจากเบญจวรรณ และศุภมงคล และมีความหมายว่า สิ่งดีๆ 5 อย่าง คือ กินดี อยู่ดี สุขภาพกายดี สุขภาพจิตดี มีความสุขดี มีชีวิตที่พอเพียง เงินทีเก็บหอมรอมริบไว้ที่เหลือจากซื้อที่ดินกับปลูกบ้านแล้ว ใช้มาซื้ออุปกรณ์ทำการเกษตรบางส่วน อีกบางส่วนเอาไว้ใช้จ่ายระหว่างที่ไม่มีรายได้
เราคิดว่าช่วง 3-6 เดือนนี้ อาจจะยังไม่มีรายได้แน่ๆ จริงอยู่ที่พืชผักจะให้ผลผลิตได้ภายใน 2-3 เดือน
แต่ไม่มีอะไรมารับประกัน ว่าผักเราจะโตหรือเปล่า จะแล้งตายมั้ย จะรอดมั้ย เพราะฉะนั้น วางแผนให้รัดกุมไว้จะดีกว่า
เราเริ่มวางแผนว่าจะทำอะไรได้บ้าง ในพื้นที่ 180 ตารางวา ปลูกบ้านไปแล้วประมาณ 120 ตารางเมตร อย่างแรกเลย คือต้องหาแหล่งน้ำ หมู่บ้านที่เรามาอยู่ มีหนองที่ใหญ่มาก มีพื้นที่ 700 กว่าไร่ แต่ที่ยอดเยี่ยมกระเทียมดองมากก็คือ เราไม่มีน้ำอาบค่ะ ท่านผู้ชม
บ้านเราอยู่ไกลที่สุดในหมู่บ้าน แรงดันน้ำมาไม่ถึง จะได้ใช้น้ำทีต้องมาเปิดไว้ตอนตี 2 ตี3 ที่ชาวบ้านเขาหลับนอนกันหมดแล้ว แต่ถึงยังงั้นก็ตาม เปิดไว้ยันเช้า น้ำยังไม่ถึงถังและเรื่องความสะอาดก็หายห่วง เพราะท่านจะได้ของแถมเป็นเศษสนิมบ้าง กลิ่นจอกแหนเน่าบ้าง บางทีสระผมที มีรากผักตบมาด้วย ยิ่งกว่าในหนังผีซะอีก
เราก็เลยคุยกับแฟนว่า เราควรจะมีแหล่งน้ำเป็นของตัวเอง และพื้นที่น้อยๆ แบบเรา การเจาะน้ำบาดาลก็เป็นวิธีที่ดีและง่ายที่สุดเราเสียค่าเจาะไป 12,000 บวกปั๊มน้ำ บวกถัง และอื่นๆ รวมแล้วประมาณ 30,000 บาท จะทำเกษตรต้องมีทุนด้วยนะคะ แต่ถ้าบ้านใครระบบน้ำโอเคแล้ว ก็ประหยัดตรงนี้ไปได้เยอะเลย เพราะรายจ่ายหลักๆ ที่เรามาทำสวน ก็มีแค่ค่าเจาะบาดาลนี่ล่ะ ที่หนักที่สุด
สมบัติที่หอบมา
ขั้นตอนต่อไป หลังจากที่เรายอมจำนนว่าเราจะเป็นคนบ้าแล้ว คือเราจะไม่มีเงินเดือนกิน เราต้องหาทางลดรายจ่ายของตัวเองก่อน รายจ่ายที่มากที่สุดของมนุษย์โลก คือเรื่องกินโดยเฉพาะเรากับแฟน ที่เห็นเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่มาตลอดชีวิต เราต้องหาทางลดรายจ่ายจากการกินของเรา
ช่วงนั้นเราลาพักร้อนกลับมาก่อน เป็นช่วงงานเกษตรที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นพอดี เห็นน้องนักศึกษาเอาลูกปลาหมอแปลงเพศมาขาย ถุงละ 100 บาท มีถุงละ 30-50 ตัว ก็เลยอุดหนุนมา 5 ถุง ลงทุนซื้อพลาสติกปูพื้นบ่อมาอีกหนึ่งม้วน ราคา 1,050 บาท กว้าง 3.6 หลา ยาว 40 หลา เมตร หนา 0.12 มิล จำพลาสติกผืนนี้ไว้ให้ดี โคตะระสารพัดประโยชน์เลยจะบอกให้
อุปกรณ์ครบแล้ว แล้วบ่อล่ะ หันมามองหน้ากันสองคน แฟนไม่ว่าง ทำห้องครัวอยู่ คงต้องเป็นนางเอกอย่างเราซินะ ที่ต้องออกโรง จัดไปค่ะ เปลี่ยนจากจับปากกา มาจับจอบเสียบของแท้เลย
ทุกอย่างควรมีการออกแบบและวางแผนก่อนนะคะ เผื่อผลประโยชน์ของท่านเอง เพราะถ้าไม่วางแผนก่อน วัสดุไม่พอขึ้นมา ปัญหาตามมาอีกยาวเลยค่ะ
.
.
.
หลังจากทำบ่อปลาหมอแล้ว พลาสติกปูพื้น เหลือเยอะและพอจะมีพื้นที่เหลือ ก็เลยทำบ่อปลาดุก เพิ่มอีกบ่อ
ขนาดใกล้เคียงกันคือ 2 เมตร x 3 เมตร ใส่ปลาดุกลงไป ประมาณ 200 ตัว และเพื่อเป็นการเตรียมพร้อม ข้างบ่อก็ปลูกยี่หร่าไปด้วย ปลาดุกโตก็ผัดเผ็ดได้เลย เราไม่กินปลาดุก แต่แฟนกินค่ะ
.
มีปลาแล้วก็ต้องมีไข่ เราซื้อไก่ไข่ เป็ดไข่ มาเลี้ยงอย่างละ 15 ตัว เป็นไก่สาว เป็ดสาว เพราะไม่เคยมีประสบการณ์กับการเลี้ยงอะไรพวกนี้ เราต้องเอาที่มันแข็งแรงและพร้อมไว้ก่อน จะได้ไม่เสียกำลังใจ และถ้าเราจะทำอะไร ไม่ควรให้ไปรบกวนคนอื่น เราก็เลยทำเล้าไก่ให้แน่นหนา เผื่อไก่ไม่รักดี ไปกินผักกินหญ้าของคนอื่น จะได้ไม่มีปัญหากัน
จากนั้นก็เริ่มวางแผนปลูกผักที่ตัวเองชอบกินก่อน เราชอบกินผัดไข่ใส่บวบ ก็เลยต้องมีค้างบวบ แต่คิดกันว่าถ้าตั้งใจจะทำให้เป็นศูนย์เรียนรู้ ก็ควรทำให้คนอื่นสนใจและอยากมาเรียนรู้จริงๆ ค้างบวบก็เลยได้ชื่อใหม่ ว่าอุโมงค์พันร้าน คือมีผักสารพัดชนิดที่พันขึ้นร้านนี้ได้
ที่เลือกใช้ PVC เพราะมันเหลือจากการต่อท่อประปาตั้งแต่ตอนที่เรายังใช้ประปาหมู่บ้าน พอเราใช้บาดาลของตัวเอง ก็เลยเหลือเยอะมาก บางท่อก็แตกนิดๆ หน่อยๆ จะเอาไปทิ้งก็เสียดาย เอามาทำประโยชน์อย่างอื่นดีกว่า
และข้อดีที่ใช้ท่อ PVC ทำค้างผักเลื้อย คือทำได้ง่าย และทนด้วยค่ะ ไม่ผุพังบ่อยเหมือนไม้ไผ่ แต่เราเสริมไม้ไผ่ด้วย เพราะไม่อยากใช้ PVC เยอะมากเกินไป ถ้าไม้ไผ่ผุ ก็ค่อยเอาอันใหม่มาเสริม พยายามหาทางลดขั้นตอนการทำงานให้เยอะๆ แล้วเราจะทำงานได้ง่ายขึ้นค่ะ ขอบคุณการทำงานบริษัท ที่ทำให้เราวางแผนเป็น ไม่อย่างนั้นเราคงทำไปเรื่อยๆ และก็คงเจ๊งไปเรื่อยๆ
ระหว่างที่เราทำงานสวน แฟนก็ต่อเติมบ้านไปด้วย บางวันเราก็ตกแต่งในบ้าน แฟนก็ทำสวน อะไรที่เราทำด้วยความรัก เราก็จะตั้งใจทำมันให้เต็มที่ แล้วมันก็จะออกมาดีเอง
เช้าเย็น จะมีมีตติ้งกันเหมือนตอนทำงานบริษัท แต่ต่างกันตรงที่คุยกันตอนกินข้าว วางแผนว่าวันนี้ พรุ่งนี้ อาทิตย์นี้ เดือนนี้ ใครจะทำอะไร แบ่งหน้าที่กันไป เพราะบางงาน ทำคนเดียวได้ โดยที่อีกคนอยู่เฉยๆ ก็เสียเวลาเปล่า คอนเซ็ปต์การทำงานที่ว่า ใช้คนให้ถูกงาน เลือกงานให้ถูกคน ยังใช้ได้เสมอค่ะ
.
.
.
.
.
.
หลังจากที่อาหารพวกโปรตีนแล้ว คนเราก็ต้องการวิตามินและแร่ธาตุ ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลค่ะ ผักปลอดสารของเรานี่แหละช่วยได้
เราเริ่มปลูกผักที่ตัวเองชอบกิน เพราะถ้าไม่ชอบ ปลูกไปก็เปลืองพื้นที่เปล่าๆ มีชะอม ไว้ชุบไข่ทอด ผักที่ขาดไม่ได้คือผักสามัญประจำบ้านทั้งหลาย เช่นกระเพรา โหระพา แมงลัก ต้นหอม ผักชี มะเขือ ผักหวานบ้าน อะไรก็ได้ที่ชอบกิน ปลูกหมด
ตอนนี้เราต้องการความเร่งด่วน เลยต้องซื้อที่เขาชำในถุงมาปลูกก่อน ระหว่างนี้ก็ซื้อเมล็ดมาเพาะด้วย พอชุดแรกหมด ชุดต่อไปก็โตทันกินพอดี
ตอนแรกเราทำระบบน้ำแบบสปริงเกอร์ แต่ใช้ไปสักพักรู้สึกว่าพืชจำพวกแตง บวบ ฟัก ไม่ค่อยสปริงเกอร์เท่าไหร่
อาจจะเพราะน้ำไปเกาะที่ใบเยอะไป พอโดนแดดแรงๆ ก็เลยทำให้ใบเหี่ยวและทยอยล้มหายตายจากไปทีละต้น
เราก็เลยต้องปรับแผนให้ ใช้สปริงเกอร์เฉพาะผักกินใบ ส่วนพวกผักเลื้อยในอุโมงค์เอาบัวรดน้ำ ไปรดทีละต้น
หลังจากนั้น มันก็อยู่รอดปลอดภัยดี จนเริ่มได้เก็บลูก
และตั้งใจเป็นพิเศษ คือ อยากทำสวนสมุนไพรกับพืชโบราณ ก็มีผักเม็ก ผักติ้ว ผักสัง(มะสัง) ขมิ้นเหลือง ขมิ้นขาว ไพล ขิง กระชาย กระเจียว มะตูมซาอุ ผักพวกนี้เหมือนจะไม่มีใครกินและไม่มีใครปลูก แต่พอมีลาบหมู ลาบไก่ เป็นต้องคิดถึงบ้านนี้ทุกที เด็ดกันจนหัวโกร๋น แถมมาชมด้วย ว่ามาอยู่แค่ไม่กี่เดือน มีผักกินเยอะแยะ จะดีใจดีมั้ยเนี่ย
อยากจะถามเหมือนกันว่าลุงป้าอยู่มาตั้งนานแล้ว ทำไมไม่ปลูกกินเอง (แต่ไม่กล้าถามหรอก คิดในใจ 555)
.
.
.
.
อาหารหลักเกือบครบแล้ว แต่ปัญหาคือ เรายังไม่มีพลังงานทดแทนใช้เลย แฟนมองถึงอนาคตข้างหน้าว่าถ้าผักเยอะ พวกแมลง หนอน ต้องเยอะแน่ๆ ก็เลยตั้งใจจะทำน้ำส้มควันไม้ไว้ใช้เอง และจะได้ถ่านมาไว้ใช้ด้วย
ไปซื้อถังขนาด 200 ลิตร มาหนึ่งใบ ราคา 500 บาท มีท่อใยหินเหลือจากทำห้องน้ำพอดี ประหยัดไปได้อีก
ตั้งใจทำแบบแนวนอน เพราะเขาบอกว่าเอาถ่านออกมาง่ายและเรียงเข้าง่ายดี
เรายังไม่มีประสบการณ์ ต้องทำแบบง่ายๆ ก่อน เตาแรก ผ่านไป ได้ถ่านประมาณ ครึ่งถุงปุ๋ย มัวแต่จะเอาน้ำส้มควันไม้ เลยลืมปิดเตา ถ่านเป็นขี้เถ้าหมด
เตาที่สอง ได้ถ่านหนึ่งถุง เพราะกะเวลาปิดเตายังไม่ถูก จับเวลาตามยูทูปแล้ว แต่ไม้ไม่เหมือนกันทำให้ตัวแปรมันต่างกัน ผลลัพธ์เลยไม่เท่ากัน
เตาที่สาม ได้ถ่านสองถุงครึ่ง กับน้ำส้มควันไม้ประมาณหนึ่งลิตร นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทฤษฎีที่เรียนมา กับภาคปฏิบัติ มันต่างกันจริงๆ ต้องปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสำเร็จ
.
.
.
ตอนนี้เรามี บ่อปลาหมอ บ่อปลาดุก เล้าไก่ไข่ ไก่บ้าน เป็ดไข่ เตาเผาถ่าน แปลงผัก อุโมงค์พันร้าน โรงเพาะกล้า
โรงเพาะกล้าได้อย่างไม่ตั้งใจ เพราะไปซื้อหลังคาโปร่งแสงมา บอกเอาของเมทัลชีท พนักงานดันหยิบของกระเบื้องมาให้ มัวแต่งานเยอะเลยไม่ได้เช็ค ผ่านไปสิบกว่าวันตอนเอาหลังคาขึ้น ร่องมันเข้ากันไม่ได้
จบข่าวค่ะ 5 แผ่น 600 กว่าบาท เลยบอกให้แฟนทำหลังคาโรงเพาะกล้าให้ ดีกว่าจะเอาทิ้งไว้ไม่มีประโยชน์
จำเป็นบทเรียนเลย ว่าต่อไปซื้ออะไรมาต้องเช็คทันทีที่ได้ของ
วันนึง เราอยากกินผัดเห็ดมาก ไปซื้อร้านค้าในหมู่บ้านก็ไม่มี ไปตลาดเทศบาลก็ไม่มี เลยต้องพึ่งห้างในเมือง ได้มาหนึ่งแพ็ค เป็นเห็ดรวม 99 บาท เลยคิดว่า ถ้าเรามีโรงเห็ดของตัวเองด้วยน่าจะดี ไหนๆ ก็จะเพาะกินแล้ว ต้องเสียเวลาทำโรงเรือนให้มันอีก ก็น่าจะเอามาเพาะขายไปด้วย
ว่าแล้วแฟนก็จัดการทำโรงเพาะเห็ดเลย ตอนแรกคิดว่าเห็ดขอนขาวกับเห็ดนางฟ้า เปิดดอกด้วยกันได้ แต่ไม่ได้ค่ะคุณ เพราะฉะนั้นคุณต้องทำโรงให้เห็ดนางฟ้าต่างหาก เพราะเขาต้องการอุณหภูมิที่ต่างกัน เห็ดขอนขาว ต้องการอุณหภูมิประมาณ 35-38 องศา ความชื้นที่ 80-90
เห็ดนางฟ้า ต้องการอุณหภูมิประมาณ 30-35 องศา ความชื้นที่ 70-90 และเพื่อความชัวร์ เราก็เลยต้องหาเครื่องวัดอุณหภูมิกับความชื้นมาใช้งานด้วย อย่าคิดว่าทำเล็กๆ น้อยๆ มันไม่จำเป็นนะคะ นี่ล่ะ ตัวจำเป็นเลย เพราะจะทำให้เรารู้ว่าทำไมเห็ดไม่ออกดอก
เราลงเห็ดขอนขาว 300 ก้อน ก้อนละ 8 บาท กับเห็ดนางฟ้าภูฏาน 200 ก้อน ก้อนละ 7 บาท ผลผลิตก็เข้าท่าค่ะ พอเหลือกินแล้วก็เก็บไปขายสนุกเลย
ลุงทุนกับเห็ดไป 4 พันกว่าบาท ค่าทำโรงเรือนเสียแค่ค่าหญ้าคาคลุมหลังคาโรงเรือนเห็ดนางฟ้า จำพลาสติกปูบ่อปลาได้มั้ยคะ นั่นล่ะ เอามาทำโรงเรือนเห็ดขอนขาวได้ดีเลยล่ะ ส่วนซาแลนก็รื้อจากแปลงผัก ก็ประหยัดไปอีก
.
.
.
.
วันแรก เอาเห็ดไปขายในหมู่บ้าน ขายดีมากค่ะ ได้ 4-500 บาท ทำเป็นถุงละ 20 บาท ใส่ 2 ขีด เท่ากับกิโลละ 100 บาทขาดตัว เด็ดใบแมงลักใส่ให้ด้วย ทำให้น่าซื้อ ลูกค้าก็ซื้อง่ายค่ะ
วันที่สอง เห็ดออกเยอะมาก เพราะอากาศเป็นใจ ขายได้ 900 กว่าบาท ไปขายตลาดนัดด้วย ขายดีเหมือนกัน
วันที่สาม ลูกค้ามาซื้อเห็ดที่บ้าน ออกไม่เยอะเท่าไหร่ ได้เกือบ 400 ลูกค้าบางคนกลัวไม่ได้กิน เอาเงินมัดจำไว้เลย
บางคนไม่เคยมาเห็นบ้านเรา พอมาเจอ ตื่นตาตื่นใจมาก ได้เวลาแฟนไปเก็บไข่ไก่พอดี ลูกค้าเลยอุดหนุนไปอีก 1 แผง 100 บาท วันต่อมา มาขอซื้อปลาหมอไปป่น (ตำน้ำพริก) ขายได้อีก 80 บาท (แต่ช่วงนี้มันยังเล็ก เราเลยไม่ตักไปขายค่ะ)
รายได้เริ่มมาแล้ว ทำให้เราสองคนมีกำลังใจขึ้นเยอะเลยค่ะ ไปรับย่าของแฟน กับโทรบอกแม่มาดูความสำเร็จ ว่ามาทำเกษตรก็ไม่อดตายแล้วนะ แม่ตื่นเต้นมาก ไม่พูดเรื่องอยากให้เรากลับไปทำงานอีกเลย
.
ถ้าเราตั้งใจทำอะไรอย่างจริงจังแล้ว มันทำให้เราเพิ่มความน่าเชื่อถือได้จริงๆ นะ อยู่ๆ ก็มีข่าวดี คือเจ้าของที่ดินเปล่าหลังบ้านเรา มาบอกให้เราปลูกผักในพื้นที่เขาได้เลย แต่เรากับแฟนเป็นประเภท เกรงใจที่จะเอาของใครฟรีๆ และไม่อยากมีปัญหาทีหลัง ก็เลยให้ค่าเช่าแกไป ปีละหนึ่งพัน
จริงๆ แถวนี้จะให้เช่ากันปีละ 500 ถึง 1,000 ต่อไร่ แต่ที่ของป้าเขามีแค่ 2 งาน ที่เหลือไปเราก็ถือว่าให้แกใช้ ขอบคุณที่อุตส่าห์เพิ่มพื้นที่ทำเกษตรให้ และที่มันดีมากคืออยู่ใกล้บ้าน ท่อน้ำก็เลยไปหลังบ้านได้เลย
มันยอดมากจริงๆ นะจ๊อด
ในแปลงนี้ปลูกฟักทอง ข่า ตะไคร้ แตงกวา บวบหอม ฟักหอม น้ำเต้า ถั่วฝักยาว แตงไทย บวบงู บวบเหลี่ยม
พริก มะเขือ อย่างละแปลงสองแปลง กะว่าให้มันขึ้นมาหมด คงละลานตาน่าดู เราก็จะมีตลาดนัดเป็นของตัวเอง ขายได้อย่างละ 10 บาท 20 บาทก็พอแล้ว เพราะไม่มีรายจ่าย
ตอนแรกนึกว่าเขตกักกันสัตว์ในแอฟริกา หญ้าเต็มไปหมด ผ่านไปเดือนครึ่ง ก็เนรมิตเป็นแปลงผักเรียบร้อยแล้วนะจ๊ะ
.
.
.
มีผักเยอะแบบนี้ สงสัยว่าเราจะตัวเขียวเป็นหนอนแน่ๆ
.
.
.
.
.
.
.
.
เรานับวันที่ครบ 4 เดือน คือวันที่ 20 พฤษภา เพราะเราเริ่มมาทำสวนจริงๆ 20 มกรา (ใช้พักร้อนมาทำก่อนวันลาออกจริง)
ถือว่าเป็น 4 เดือนที่ต้องใช้แรงกายแรงใจมาก แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากเหมือนกัน วันแรกที่แม่ไก่ฟักไข่ เราร้องกรี๊ดเหมือนถูกล็อตเตอร์รี่ บอกตัวเองว่าฉันทำได้แล้วนะ มีไข่ไก่กิน ไม่อดตายแล้ว วันแรกที่ผักขายได้ ดีใจมากๆ แม่ค้าชมว่าผักสวย และดีใจที่ได้ปลูกผักปลอดภัยให้คนอื่นกิน ได้ปิ้งปลาหมอ ให้พ่อแม่พี่น้องได้กิน ในฤดูที่แล้งสุดขีด
ก่อนจะออกมาทำเกษตรเราเจอแรงต้านเยอะมาก แต่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำไม่ผิด และคือความสุข ก็เลยต้องกัดฟันสู้ต่อไป เราเคยเขียนเรื่องนี้ลงในเพจ บ้านสวนเบญจมงคล ของตัวเอง เป็นคำตอบๆ ดี สำหรับคำพูดที่บั่นทอนกำลังใจจากคนอื่นค่ะ
มีแต่คนบ้าที่ทิ้งเงินเดือนแพงๆ ตำแหน่งหัวหน้างานทั้งสองคน ไปทำไร่ทำนา ทำมากี่คนแล้ว มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง
…คนพูดแกไม่รู้ว่าเราจะไปทำเกษตรทฤษฎีใหม่แบบพอเพียง ไม่ใช่เอาเงินเอาทองไปทำเกษตรเชิงเดียวแล้วโหมปุ๋ย โหมยาฆ่าแมลงเหมือนในอดีต เราแค่อยากปลูกผักปลอดภัยไว้กินเอง ไม่คิดจะมาร่ำรวยจากการทำเกษตร
– อายุแค่นี้จะรีบไปทำเกษตรทำไม ให้เกษียณก่อนค่อยไปทำก็ได้
…คนพูดคงลืมว่าชีวิตคนเรามันสั้นนัก ไม่รู้ว่าเราจะมีอายุถึงเกษียณหรือเปล่า หรือถ้ารอให้เกษียณ ก็ไม่รู้จะมีแรงไปทำหรือเปล่า ปลูกต้นไม้ตอนนี้ อีก 4-5 ปีก็ได้กิน ปลูกตอนเกษียณอาจจะตายก่อนได้กิน หรืออาจจะตายก่อนจะเกษียณก็ได้ ตอนนี้เราอายุ 34 ใครจะไปรู้ว่าภายใน 21 ปีนี้ จะเกิดอะไรขึ้น
– เสียเวลาเรียนมาทำไมเยอะแยะ ถ้าจะไปทำเกษตร ไม่ต้องเรียนสูงก็ได้
…คนพูดก็คงลืมอีกนั่นแหละ ว่าถ้าเราทำอะไรไม่มีความรู้ ก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จ น่าจะคิดว่าดีซะอีก ที่เราใช้ความรู้ทำเกษตร เราก็ประหยัดค่าปุ๋ยค่ายา เพราะทำน้ำหมักได้ ลดค่าใช้จ่ายเพราะเอาความรู้มาประยุกต์ทำเครื่องทุ่นแรง
– ทำงานสบาย ทำเกษตรมันเหนื่อย มันหนัก
…คนพูดคงไม่เคยสัมผัสการทำงานอย่างแท้จริง อยากบอกว่าการที่นั่งทำงานในห้องแอร์เย็นๆ มันไม่ได้สบายอย่างที่คิดเลย มันต้องใช้สมอง ใช้ความคิด ใช้แรงกายแรงใจอย่างมากที่สุด ทนต่อคำด่าของหัวหน้า ทนต่อความเกลียดของลูกน้อง จะสนองความต้องการของหัวหน้า ก็ขัดใจลูกน้อง จะทำให้ลูกน้องพอใจ ก็ไม่สนองนโยบายของบริษัท ไม่มีทางที่จะทำถูกใจใครได้หมด
แต่มาทำสวน อย่างมากก็ทำงานเหนื่อย เหงื่อไหลเป็นโอ่ง แต่โคตรสบายใจ จะทำอะไรก็ไม่มีใครว่า ไม่ต้องเข้างานตามเวลา ไม่ต้องอดหลับอดนอนเข้ากะตอนกลางคืน สุขภาพจิตก็เสีย สุขภาพกายก็แย่ ตอนนี้เราคิดว่าทำเกษตรสบายกว่าทำงานเยอะเลย
– ทำเกษตรจะเอาอะไรกิน ทำงานอยากกินอะไรก็ได้
… ตลอด 4 เดือนที่ผ่านมาทำเกษตร ยังไม่เคยเจอคำว่าอดอยากเลยซักวัน ปลูกผักเลี้ยงปลา ไข่ไก่ เห็ด ผักลวกข้างบ้าน อยากกินอะไรก็ได้กิน ตอนทำงานมีเงิน อยากกินผัดผักบุ้งสดๆ อร่อยๆ ก็ไม่ได้กิน เพราะรถกับข้าวไม่มาขาย เงินเดือนไม่ต้องถาม ไม่เคยชนเดือนสักที กินดีๆ ครึ่งเดือน ที่เหลือมาม่าอีกครึ่งเดือน ใส่ไข่ก็ไม่ได้เพราะแพง
แต่มาทำสวน เดินรอบๆ บ้าน ได้กับข้าวเกินจะกิน มะเขือก็ได้เก็บ ผักบุ้งกำลังงาม ผักโขมก็ขึ้นดีจัง กับข้าวเหลือให้หมา เหลือจากหมาให้เป็ด เป็ดกินทิ้งเรี่ยราดตักไปใส่กะละมังไส้เดือนเป็นปุ๋ยให้ดิน ถ้าขยัน ยังไงก็ไม่มีทางอด เชื่อเถอะค่ะ
– จะไปทำศูนย์เรียนรู้เกษตรพอเพียง มันจะได้ประโยชน์อะไร เสียเวลาเปล่า
…ความคุ้มค่า ของเวลาของเรา คือการที่ได้เกิดมาแล้วทำประโยชน์อะไรให้โลกบ้าง คนเราเดี๋ยวก็ตายแล้ว เราทำดีกับหนึ่งคน เขาอาจจะลืมไปก็ได้ แต่ถ้าเราทำดีกับหลายๆ คน คงมีสักคนที่จำได้ ตอนที่เราตายไปแล้ว แค่นี้เราก็ว่าคุ้มแล้วนะ
เราชอบกลอนบทนี้มากเลย จำไว้ในใจตลอด นรชาติติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา
ช้านี้กิจการไม่ค่อยดี อากาศดี เห็ดไม่ออกเลย แต่ก็ถือว่าให้เขาได้พักผ่อนแล้วกัน บางทีเขาก็เหนื่อยเน๊อะ ออกดอกให้เรากินทุกวัน เมื่อวานเอาเขามาทอดกรอบ จิ้มน้ำจิ้มไก่แล้วด้วย
แต่เป็ดไก่ชอบอากาศแบบนี้ เมื่อวานไก่ออกไข่ตั้ง 13 ฟองแน่ะ จากไก่ 14 ตัว จริงๆ มีไก่ 15 ตัว แต่เพราะความไม่รู้ของเรา ทำมันตายไปตัวนึง เศร้ามาก เราไม่เคยรู้มาก่อน ว่าต้องเปิดไฟให้ไก่ตอนกลางคืน
ตอนซื้อมาใหม่ๆ ก็ปล่อยมันไปแบบนั้นแหละ ตอนเช้ามาเห็นมันตายไปตัวนึง ก็เลยหาข้อมูลในเน็ตอีกเหมือนเดิม เขาบอกว่าตอนกลางคืนต้องเปิดไฟให้มัน ไม่งั้นมันจะไปกองกัน แล้วเหยียบกันตาย
พอตอนค่ำๆ เลยแอบไปดู จริงอย่างเขาว่าเลย ไก่สิบกว่าตัวไปกองอยู่ที่เดียว ตัวล่างซวยเลย โดนเพื่อนเหยียบหมด
ก็เลยให้แฟนรีบต่อหลอดไฟไปให้ จากนั้นก็ไม่มีการตายอีกเลย เป็นอีกหนึ่งเรื่อง ที่เพิ่งรู้เหมือนกัน
ช่วงนี้งานซาๆ บ้าง เหลืออีกสองสามโครงการที่ยังไม่ได้ลงมือ ก็จะทำไปเรื่อยๆ แล้วกันค่ะ เหนื่อยก็พัก งานของเราเอง ไม่ต้องรีบไม่ต้องเร่ง สิ้นเดือนไม่ต้องส่ง KPI GMS ไม่ต้องเขียน Near Miss ส่ง Safety ชีวิตดีจะตาย 555
ไม่ต้องตอบนายว่าทำไม Margin ลด ไม่ต้อง Plan ว่าลูกน้องจะพักร้อนตอนงานเยอะมั้ย ไม่ต้องมาไล่ดูตารางหยุดของลูกน้อง เพื่อตัวเองจะหาวันลาพักผ่อนได้ คือมันดีงามมาก ถึงเงินจะน้อย แต่ความสุขเยอะค่ะ
มีหลายคนสงสัยว่าที่ดิน 180 ตารางวานี่มันขนาดไหน มันทำอะไรได้เยอะขนาดนี้เลยเหรอ ลองนึกถึงทาวเฮ้าส์ต่อกัน ประมาณ 6 ห้อง (นี่เราคิดจากขนาดมาตรฐานของทาวเฮาส์ที่ประมาณ 30 ตารางวาต่อหลังนะคะ) จะว่าเยอะก็เยอะนะ แต่พอทำจริงๆ มันแน่นเอี๊ยดเลยค่ะ ท่านผู้ชม
ตาม Plan นี้เลยค่ะ เอามาให้ดูชม วาดเอง มั่วเอง
ที่มา : xela .