ความฝันของคนในเมืองหลวงกรุงเทพอันศิวิไลซ์ คงหนีไม่พ้นอยากจะมีบ้านหลังน้อยทางภาคเหนือ ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และความหนาว เพื่อสุขภาพกาย และสุขภาพใจที่ดี หรือมีบ้านพักตากอากาศเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุดหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งปี
วันนี้ ในบ้าน จึงได้มาพร้อมกับการแชร์ประสบการณ์การสร้างบ้าน จากคุณ ภูมิพัฒน์ ที่ได้ทำการประมูลที่ดินขนาด 100 ตาราวา จากจังหวัดเชียงราย แล้วเริ่มสร้างบ้านแบบโฮมสเตย์ สองชั้น สไตล์ไทยประยุกต์ เน้นความเรียบง่ายแบบดั้งเดิม พร้อมทั้งโดดเด่นด้วยงานปูนเปลือย จะสวยงามน่าอยู่แค่ไหน ตามไปชมกันเลย
พาไปชม “บ้านปูนเปลือยแนวไทยประยุกต์” ผสมผสานความทันสมัยและความดั้งเดิมได้อย่างลงตัว
(โดย ภูมิพัฒน์)
สวัสดีครับนี่ไม่ใช่กระทุ้แรก ขอเริ่มจากการได้ที่ดินผืนนี้มาก่อนนะครับ สืบเนืองจากความต้องการหาที่ดินผืนเล็กๆ ใกล้ๆ ตัวเมือง ทางจังหวัดภาคเหนือ เลยให้เพื่อนที่อยู่ทางโน้นช่วยดูให้ ไปเจอที่จากกรมบังคับคดีเข้าแปลงหนึ่ง อยู่ไกลตัวเมืองไป 5 กม เนื้อที่ 100 ตรว เป็นที่ถมแล้ว ถนนดี
เมื่อเพื่อนบอกมา ผมเลยให้รุ่นน้องที่รู้จักกันเขาเป็นเซลล์ขายของทางภาคเหนือ ต้องวิ่งไปวิ่งมาหลายจังหวัด ไปดูห้อง พร้อมกับสืบราคาขายแถวๆนั้น บริเวณนั้นจะอยู่ในเขตเทศบาลตำบล มีคนบอกขายที่งานละ 900,000 ผมก็เลยตัดสินใจเข้าร่วมประมูล
อันดับแรก เพื่อนให้ดูก่อนว่าใครเป็นโจทก์ ใครเป็นจำเลย ปรากฏว่าโจทก์คือ ธนาคาร ครับ ส่วนจำเลยเป็นบุคคลธรรมดา ผมจึงติดต่อไปที่ธนาคาร เพื่อสอบถามข้อมูล และถาม ธนาคารว่าเขาต้องการปล่อยที่ราคาเท่าไหร่ ซึ่งตอนแรก เขาไม่ยอมบอก บอกแต่ว่าจะนำเข้าไปคุยกับนายก่อน ผ่านไปสามวันผมก็โทรไปถามอีกครั้ง เขาบอกว่า แบงค์จะปล่อยที่ สามแสนบาท
ผมเลยถามว่าแล้วลูกหนึ้ จะคัดค้านหรือไม่ ซึ่งทางแบงค์ก็คาดการณ์ว่าคงไม่เพราะลูกหนึ้มีหนึ้มาก และตอนนี้หนีไปอยู่ภูเก็ตแล้ว ทีนี้ผมก็หาข้อมูลจากห้องชายคามั่ง สินธรมั่ง ได้ไอเดียต่างๆ ทั้งด้านดีและไม่ดี ของการประมูลบ้าน หรือที่ดินจากกรมบังคับคดี ผมก็เลยรู้ข้อมูล และขั้นตอนการประมูล แต่ก็ยังนึกภาพไม่ออกว่ามันจะเป็นยังไง
จากนั้น ผมก็ไปเช็คราคาประเมิน ซึ่งก็ตกเท่ากับราคาทรัพย์ที่เจ้าพนักงานประเมิน คือ 150,000 แต่คุยกับทางแบงค์เขายังไงก็ไม่ยอมปล่อยที่แสนห้าแน่นอน จะปล่อยที่ 200,000 เป็นอย่างต่ำ ซึ่งจะประมูลรอบแรก วันที่ 26 พฤศจิกายน ด้วยความที่อยากได้มาก หรือไม่รู้อะไรดลใจ ก็จัดการจองตั่วเครื่องบิน และก็ไม่รู้คิดยังไงเหมือนกัน ขาไปจอง แอร์เอเซีย จากสุวรรณภูมิ ออกเดินทางวันที่ 25 ตอน 19.45
พอเลิกงานก็โบกแทกซี่ บอกว่าไปสุวรรณภุมิ แทกซี่บอกว่า พี่ไม่ได้ฟังข่าวเหรอ เขาปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ผมเลยต้องเรียกคันอื่น เจอคันที่ยอมไปแต่ขอไปทางบางนาตราด ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ดีมากของแทกซี่
เข้าเขตสนามบิน เริ่มติดขัด ตอนนั้น หกโมงสิบห้า แล้วยังไม่ถึงที่เชคอิน ผมเข้าใจว่าต้องเชคอินประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนเครื่องออก เริ่มเครียด คนขับก็เครียด ฟังข่าวไปตลอด ว่าจะยกกันมาอีก ตอนนั้น เขายังปิดล้อมไม่หมด แต่ชั้นสี่ผู้โดยสารขาออกขึ้นไปไม่ได้แล้ว แทกซี่บอกว่างั้นผมไปส่งขาเข้าชั้นหนึ่งแล้วกัน กว่าจะถึงก็หกโมงสี่สิบ ผมก็เดินอย่างเร็วขึ้นไปชั้นสี่ เพื่อเชคอิน ปรากฏว่า ทัน เพราะเครื่องดีเลย์
เอาเข้าจริงเครื่องออก เวลา สองทุ่มครึ่ง เพราะรอผุ้ร่วมชะตากรรมท่านอื่นๆ วันนั้นรู้สึกเหมือนอยู่ในหนังสงครามเวียดนาม ตอนหนีออกนอกประเทศยังไงไม่รุ้ ขากลับ อะไรดลใจก็ไม่รุ้ ผมจองการบินไทย แต่ไปลงที่ดอนเมืองแทน เพราะใกล้บ้าน
เล่าต่อ ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ เวลาสามทุ่มครึ่ง นั่งแทกซี่ไปโรงแรม เชคอิน ออกไปกินก๊วยเตี๋ยว หน้าโรงแรม อากาศเมืองเหนือตอนกลางคืน เย็นเหมือน ซัมเมอร์เมืองนอกเลยแฮะ
วันที่ 26 ตอนเช้า ผมไม่รู้ว่าเขาเปิดกี่โมง เลยตื่นเช้าหน่อย จ้างตุ๊กๆไปดูที่ที่จะประมูล และเลยต่อไปที่กรมบังคับคดี
ที่ที่จะประมูลก็สวยดีครับ แต่ว่ารกหน่อย ถนนดีกว่าที่บ้านผมในกรุงเทพเสียอีก เป็นถนนคอนกรีตกว้างมีรางระบายน้ำอย่างดี แต่หญ้าขึ้นรกเต็มที่
พอดี ที่เสร็จ ก็ไปที่กรมบังคับตอนแปดโมง เจ้าหน้าที่บอกว่า เขาเริ่มกัน เก้าโมงเช้า ผมเลยไปกินข้าวเช้าก่อน พอใกล้ถึงเวลา ก็ต้องไปดูว่าทรัพย์ที่เราจะประมูลอยู่ลำดับที่เท่าไหร่ เป็นทรัพย์ลำดับที่ เจ็ด พอดีผมเห็นคนของแบงค์ (สังเกตจากสายคล้องบัตร) รับมอบอำนาจมาประมูลที่ดินแปลงนี้ด้วย เขาคุยภาษาเหนือแต่ผมพอฟังออกครับ คนที่เขาคุยด้วยเขาถามว่าจะประมูลที่แปลงไหน ราคาเท่าไหร่ แต่เขาไม่ยอมบอกราคา รุ้เลยว่า อ่ะ มีคู่แข่งแล้วหนึ่งคน
ถึงเวลา 9.00 เจ้าหน้าที่ให้ไปวางเงินมัดจำ และรับป้าย สำหรับคนที่ไปประมุลเอง ก็ใช้สำเนาบัตรประชาชน ถ้าให้คนอื่นไปก็ต้องมีหนังสือมอบอำนาจ ถ้าที่ราคาเกิน 5 แสน ก็ต้องวางเงิน 50,000 ถ้าไม่เกินก็วาง 20,000 ซึ่งแบบฟอร์มจะแยกกัน
กรอกเอกสารเสร็จก็ยื่นไปให้เจ้าหน้าที่ เงินก็นับใส่ซองเอง เซ็นปิดผนึกให้เรียบร้อยจากนั้นก็เข้าไปรอที่ห้องประมูล
มาต่อ บรรยากาศในห้องประมูลคึกคักมาก พ่อลุง แม่ป้า นายหน้า อาเจ๊ อาเฮีย ตำรวจในเครื่องแบบก็มาประมูล เจ้าหน้าที่ บสก เอย ธนาคารสีเขียว สีส้ม สีแดง สีม่วงมากันมากมาย นั่งกันสรลม สลอน
การประมูลจะเริ่มที่ 9.30 แต่ทั่น ผอ อยากมี speech ชี้แจงก่อน ก็ให้ท่านพูดไป ซึ่งเป็นประโยชน์ดีมาก เท่าที่จับประเด็นได้มีดังนี้
1. การยอมกันหรือถอนขายทอดตลาดต้องได้รับความยินยอมทั้งจากโจทก์และจำเลย เช่น โจทก์ได้คนซื้อมาแล้วจะขอถอนเรื่องออกไป จำเลยต้องยินยอมด้วย
2. ประมูลได้แล้ว สิบห้าวันต้องเอาเงินมาวางให้ครบ ถ้าทำเรื่องกู้แบงค์ก็ให้ไปขอยืดเวลาเป็นเก้าสิบวันได้ 3 เรื่องขอคืนภาษี หลังจากโอนกรรมสิทธิ์ที่ที่ดินแล้วให้รีบมาขอภาษีคืน
ประมาณนี้
พอทั่น ผอ กล่าวจบ เจ้าหน้าที่ก็อ่านกฏกติกา มารยาทให้ทุกคนฟัง การประมูลจะเริ่มต้น ณ บัด now แปลงแรก เป็นที่นา มีคนสู้ราคาสองเจ้า เป็นลุงกะป้า สองคู่ สู้กัน พอถึงระดับราคานึง ลุงบอกให้ถอยแต่ป้าจะสู้ต่อ เลยฮ่ากันทั้งห้อง จบแปลงนี้ไป ก็กระโดด ไปแปลงที่ หก ซึ่งไม่มีใครมาประมูล เจ้าหน้าที่เลยข้ามไปเป็นรายการที่เจ็ดซึ่งผมจะประมูล
แอบชำเลืองมองพี่ตำรวจที่นั่งข้าง อ้าว เฮ้ย แปลงเดียวกับตรูเลยนี่หว่า หันไปทางซ้าย อ้าว เจ๊คนนั้นก็ถือแผนที่แปลงเดียวกัน อีก ข้างหน้าก็เจ้าหน้าที่ธนาคารที่มาเป็นนอมินี ข้างหลังอีกสอง เบ็ดเสร็จ ประมาณ หก รายที่สนใจแปลงนี้
เจ้าหน้าที่ก็อ่านเลขที่โฉนดและบอกราคาเริ่มต้น ถามว่าใครจะรับราคาที่ 120,000 ยกกันพรึ่บ ราคามันก็ค่อยๆขยับไปทีละ 5,000 ไปจนถึง 150,000 มีเสียงหนึ่งยกป้ายขึ้นและบอกว่า 200,000 เจ้าหน้าที่ก็ไล่ราคาไปเรื่อยๆที่ละ 5,000 ทีนี้เจ้าหน้าที่บอกว่า ยกป้ายรับราคาแล้วเสนอราคามาเลยก็ได้ ผมเลยบอกไปที่ 250,000 ก็มีคนสู้อีก ไล่ไปจนถึง 275,000 ผมก็ยกและแจ้งไปที่ 300,000 อึ้งกันไปพักนึง ตอนแรกคิดว่าได้ราคานี้แล้ว
เขานับถึง สองแล้ว แต่ฟ้าก็ไม่เป็นใจ ป้ายข้างหลัง บอกว่ารับที่ 305,000 ด้วยมีราคาในใจอยุ่แล้วว่าจะสุ้ไม่เกิน 350,000 เพราะสืบราคาจากพื้นที่อยุ่ในจังหวัดว่า เขาซื้อขายที่ประมาณ 400,000 ก็ยกสู้กันไปจนถึง 350,000 ผมก้ให้อีก 5,000 เป็น 355,000 บาท เจ้าหน้าที่นับถึง 3 ก็ได้ที่แปลงนี้มา
เดินออกมาข้างหน้า เซ็นชื่อ เอาแฟ้มไปเสียค่ามัดจำ ทำเรื่องขอยืดเวลาจ่ายเงิน และถ่ายสำเนาโฉนด คิดว่าหลังปีใหม่จะไปโอน โดยเอาเงินไปจ่ายที่กรมบังคับคดี และนำโฉนดไปโอน ที่สำนักงานที่ดิน เสร็จเรื่อง ก็ต้องกังวลว่าจะได้กลับหรือเปล่า เพราะกลับการบินไทย ไฟล์ทสองทุ่ม ถึงดอนเมือง สามทุ่มสิบห้า
ตอนแรกนึกว่าจะได้กลับรถทัวร์แล้ว แต่เช็คกับการบินไทยบอกว่าดอนเมืองใช้ได้ ตอนเย็นกินข้าวเย็นแล้วไปสนามบิน เช็คอิน แต่เครื่องดีเลย์กว่าจะได้ออกก็สามทุ่ม ถึงดอนเมือง สี่ทุ่มครึ่ง แต่ว่าต้องนั่งรถไปลงที่ร้านเจ๊เล้งเนื่องจากปิดสนามบิน
ที่แปลงนี้กว่าจะได้มา สะบักสะบอม มากๆ เป็นประสบการณ์ที่จะไม่ลืมจริงๆ ครับ ครั้งแรกที่ประมูลกับกรมบังคับคดี ก็มีเพียงเท่านี้แหละครับ คราวหน้าขึ้นไปอีก จะไปเรื่องรังวัดที่ดินและทำรั้วด้วยหน่ะครับ
ผมปล่อยที่ทิ้งไว้นานหลายปี ด้วยมีปัญหาทางการเงิน จนมาวันหนึ่งที่ใช้หนี้ใช้สินหมด ใจก็ยังคิดที่จะปลุกบ้านที่นี่อยู่ตลอดเวลา แล้วก็เริ่มหาผู้รับเหมา ติดต่อธนาคาร ยื่นกู้
หลังจากที่ได้เคลียร์หนี้สิน บัตรเครดิต รีไฟแนนซ์บ้านเรียบร้อย เพื่อให้กู้ได้ง่ายขึ้น ผมได้ติดต่อตามหาผู้รับเหมาที่เคยหมายตาไว้ตั้งแต่ปี 54 คิดดูว่านานขนาดไหน เอาแบบที่เคยจ้างสถาปนิกเขียนไปให้เขาดู คุยกันว่าขั้นตอนเป็นอย่างไร
ตัวผมทำงานอยู่กรุงเทพ หน้างานอยู่เชียงราย ขั้นตอนก็จ้างให้เขาทำแบบวิศวกรรม สถาปัตย์ สุขาภิบาล ให้เรียบร้อย ยื่นขออนุญาต ยื่นกู้แบงค์ไปด้วย ทำสัญญาก่อสร้าง ยื่นธนาคารไป หลังจากนั้นก็ได้รับอนุมัติ แล้วก็ลุยกันทันที
ราคาที่ผู้รับเหมาเรียกมาคือ 2.95 ล้านบาท แต่สุขภัณฑ์กับหลอดไฟต้องซื้อเอง กระเบื้องด้วย ธนาคารปล่อยกู้ที่ 3.70 ล้าน เผื่อตกแต่ง แบบบ้านออกแบบมาตั้งนานแล้ว แต่การเงินสะดุดเลยไม่ได้ทำต่อ ตอนนี้เราพร้อมแล้ว
หลังจากนั้นเราทำพิธีตั้งเสาเอกแบบล้านนาครับ
หลังจากนั้นก็เริ่มสร้างครับ อันนี้ก็ดูๆรูปเอาแล้วกัน ฮ่าๆ
.
จากนั้นมันก็ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง
.
.
ซึ่งในที่สุดก็เกือบเสร็จ
และก็ถึงวันที่บ้านเสร็จ
มาดูภาพอื่นๆ กันครับ
พื้นเป็นปูนเปลือยครับ บางคนถามนึกว่าบ้านไม่เสร็จ
เข้ามาในบ้านกันครับ
ระเบียงหน้าบ้านครับ
บริเวณโถงด้านล่างครับ
ในบ้านนะครับ มีห้องนอนห้าห้อง ผมกะจะทำเป็นโฮมสเตย์ครับ
เน้นรูปแล้วกันนะครับ
ในส่วนของห้องนอนนั้น มี 5 ห้องนอน เราอยู่เองห้องนึง ที่เหลือเป็นที่พักแบบ bed and breakfast ครับ
ห้องนอนใหญ่มีความบ่วงบรรจถรณ์
ไว้หน้าฝนค่อยลงต้นไม้ครับ ตอนนี้อยู่แบบนี้ไปก่อน ค่อยๆทำครับ
ทำเป็น Bed and Breakfast นะครับ
เล็กๆ ครับ ทำแค่ 4 ห้อง นอนเองห้องนึง
.
ที่มา : ภูมิพัฒน์