การตกแต่งใน สไตล์วินเทจ นั้น จะให้บรรยากาศที่อบอุ่นนุ่มนวล เป็นหนึ่งในสไตล์ย้อนยุคที่นิยมนำมาใช้ตกแต่งร้านอาหาร ร้านกาแฟ ที่พักต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม หรือโฮมสเตย์ รวมไปถึงบ้านอยู่อาศัยด้วยเช่นกัน
คราวนี้ ในบ้าน ก็จะพาชาวเว็บไปชมบ้านของคุณ สมาชิกหมายเลข 1381050 สมาชิกเว็บไซต์ Pantip.com เป็นบ้านมือสองที่ซื้อมาแล้วก็ทำการตกแต่งในสไตล์วินเทจเข้าไปด้วยตัวเอง แบบจับนั่นผสมนี่ จนกลายเป็นบ้านในฝันที่อบอุ่นน่าอยู่สุดๆ ใครที่กำลังมองหาไอเดียแต่งบ้านแนววินเทจอยู่ ลองมาชมมุมต่างๆ ของบ้านเป็นแนวทางกันได้เลยครับ
[CR]รีวิว แต่งบ้านหลังแรก สไตล์วินเทจ แบบจับนั่นผสมนี่เอง
(โดย สมาชิกหมายเลข 1381050)
สวัสดีค่ะ หลังจากรวบรวมเงินจากน้ำพักน้ำแรงทั้งหมดมาสร้างครอบครัวเล็ก ๆ โดยเริ่มจากการซื้อบ้านหลังแรก วันนี้เป็นโอกาสดีหลังจากที่ตกแต่งบ้านใกล้จะเสร็จแล้ว ก็เลยอยากจะแชร์ไอเดียการแต่งบ้านของตัวเอง เผื่อจะเป็นประโยชน์กับใครหลาย ๆ คนที่กำลังมองหาไอเดียแต่งบ้านอยู่ในขณะนี้ค่ะ
จากการสืบเสาะมายาวนาน หาบ้านมือสองมาก็มากแต่ก็มาลงเอยด้วยบ้านหลังนี้ ซึ่งเป็นบ้านในโครงการ ภัสสร ไพรด์ (Passorn Pride) พระราม 5-สิรินธร เนื่องจากเหตุผล 3 ข้อหลักคือ ขนาดบ้านไม่ต่ำกว่า 50 ตารางวา ราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท และระยะทางห่างจากที่ทำงานไม่เกิน 15 กิโลเมตร บ้านขนาดกลาง ๆ พื้นที่ใช้สอยขนาดกลาง ๆ อาจจะไม่ใช่แบรนด์แถวหน้าของเมืองไทย แต่เมื่อเทียบกับงบประมาณและตำแหน่งที่ตั้งแล้วคุ้มค่ากับการเลือกในระดับดีเลยแหละค่ะ
แบบบ้านและฟังก์ชั่นของบ้านเป็นแบบด้านล่างนี้เลยค่ะ 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ และ 2 ที่จอดรถ
โฉมหน้าของบ้านค่ะ ถือว่าโชคดีที่ได้บ้านที่มีพื้นที่หน้าบ้านพอสมควร ความฝันคือจะสร้างสวนที่มีน้ำพุแนวอังกฤษ แต่ตอนนี้ยังไม่มีงบประมาณค่ะ
หน้าบ้านอีกรูปค่ะ รีบเอารถเข้าไปจอดและถ่ายรูปกับตัวบ้านทันทีหลังจากโอนบ้านเสร็จ
มาเริ่มดูภายในบ้านก่อนตกแต่งกันค่ะ เริ่มจากโซนห้องนั่งเล่น เป็นห้องโล่ง ๆ ค่ะ
ตามมาด้วยโซนห้องรับประทานอาหารค่ะ
มาดูห้องครัวทั้ง 3 มุมกันค่ะ เนื้อที่ห้องครัวกว้างพอสมควร สามารถทำบิวท์อินครัวแบบแอลเชป (L Shape) ได้และสามารถจัดวางเครื่องซักผ้าไว้ในห้องนี้ได้แบบไม่อึดอัดเลยค่ะ
ใต้บันไดถูกออกแบบโดยให้มีพื้นที่ใช้สอยเป็นโซนเก็บของเหมือนบ้านทั่วไปค่ะ
บริเวณช่องบันไดถูกออกแบบมาให้เป็นกระจกที่กว้างพอสมควรเพื่อเพิ่มช่องแสงและความสว่างให้กับตัวบ้านในเวลากลางวัน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นช่องทางเข้าของความร้อนด้วย
Master Bedroom ห้องนอนขนาดใหญ่ที่สุด มีห้องน้ำภายในเป็นส่วนตัว และมีพื้นที่เล็ก ๆ หน้าห้องน้ำเอาไว้เก็บเสื้อผ้าและของต่าง ๆ
.
.
ส่วนห้องนอนที่ 2 และห้องนอนที่ 3 ไม่มีรูปก่อนและหลังตกแต่งค่ะ เพราะจริง ๆ แล้วไม่ได้ตกแต่งห้องนอนทั้ง 2 ห้องนั้นเลย เนื่องจากใช้พื้นที่ห้องนอนใหญ่เพียงห้องเดียว ประกอบกับไม่มีงบประมาณในการตกแต่ง ก็เลยจัดการแค่ห้องเดียวไปก่อนค่ะ
เมื่อเจ้าของกระทู้ตรวจบ้านเสร็จก็โอนบ้านทันที เนื่องจากดิฉันเป็นวิศวกรและทำงานทุกวัน ด้วยการวางแผนว่าควรเริ่มจากกรอบการทำงานทั้งหมดควรมีอะไรบ้าง (Total Scope of Work) แต่ละงานใช้เวลาเท่าไร ช่างทำได้ช่วงไหน (Work Schedule) งานอะไรควรจะทำก่อน-หลัง (Work Sequence) และตบท้ายด้วยแผนการทำงานตกแต่งบ้านทั้งหมด (Overall Work Plan with Timeline)
ลำดับการทำงานก่อน-หลังมีผลพอสมควรกับผลงานที่จะออกมา หากติดตั้งบางอุปกรณ์ก่อนที่บ้านจะเกิดความสกปรกจากงานที่หนักกว่า เจ้าของบ้านก็จะต้องมาปวดหัวกับการทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ติดตั้งและวางไปแล้ว ดังนั้นแนะนำให้จัดลำดับงานจะดีกว่าค่ะ จากการตกตะกอนแล้วพบว่างานตกแต่งบ้านทั้งหมดที่จะทำจะเป็นตามลำดับมีดังนี้ค่ะ
1. ติดตั้งแอร์
2. ติดตั้งวอลเปเปอร์
3. ติดตั้งผ้าม่าน
4. ทำบิวท์อินกับห้องที่ต้องการ
5. ติดตั้งโคมไฟหรือไฟประดับต่าง ๆ
6. เอาเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวมาวาง
7. ตกแต่งด้วยอุปกรณ์แต่งบ้านตามที่ต้องการ
หลังจากกำหนดกรอบการทำงานและลำดับการทำงานเรียบร้อย ก็เริ่มนัดช่างเพื่อมาตกลงราคาและช่วงเวลาเพื่อไม่ให้ทำงานชนกัน และเพื่อความสะดวกในการตรวจสอบดูงาน เริ่มจัดการกับบ้านโดยการติดแอร์ก่อนเลย เพราะประเทศไทยเราหลีกเลี่ยงความร้อนไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจติดแอร์กับบ้านทั้งหลัง ช่างที่มาติดตั้งมีความเป็นมืออาชีพมากเลยค่ะ รวดเร็ว เป็นสัดส่วน เก็บกวาดเรียบร้อย หลังจากติดตั้งเสร็จแทบไม่เหลือขยะไว้ให้เราเก็บกวาดเลยค่ะ แต่ก็เหลือฝุ่นจากการเจาะไว้แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อติดแอร์เสร็จแล้วก็มาจัดการกับผนังห้องชั้น 1 อยากทำผนังให้เป็นอิฐสีขาว เนื่องจากเคยไปทานอาหารร้านแบบวินเทจ ๆ ก็เลยได้ไอเดียมาจากหลาย ๆ ร้าน แต่ถ้าหากเราติดอิฐตกแต่งเข้าไปจริง ๆ เกรงว่าจะเป็นงานใหญ่ และถ้าหากเบื่อแล้วก็จะจัดการรื้อออกยาก เลยไปลงเอยโดยการติดวอลเปเปอร์แทน แต่เมื่อคิดไปคิดมาติดวอลเปเปอร์ลายอิฐลายเดียวก็อาจจะดูซ้ำกับที่อื่นและดูจืดชืดเกินไป ก็เลยลองออกแบบโดยการเอาภาพมาแปะ ๆ กับผนังบ้านเพื่อดูก่อนว่าการติดวอลเปเปอร์จะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร เริ่มด้วยลายอิฐขาวทั้งหมดเพียงอย่างเดียว
มันดูจืด ๆ ชืด ๆ ไปนิดนึงใช่ไหมคะ เลยเปลี่ยนใหม่เป็นแบบทูโทน พร้อมทั้งลองผสมแอคเซสซอรี่อื่นเข้าไปด้วย เฮ้ย ! มันคือดีอะ เลยลงเอยด้วยการติดวอลเปเปอร์แบบทูโทนและมีลายคาดกลางนิดนึงเพื่อทำให้ดูมีมิติขึ้นมาค่ะ
ช่างวอลเปเปอร์ก็มืออาชีพเช่นกันค่ะ มากันแค่ 2 คน แบ ๆ กวาด ๆ ปาด ๆ ถู ๆ ทา ๆ เพียงแค่ 4 ชั่วโมงเท่านั้น การติดวอลเปเปอร์บนพื้นที่ 50 ตารางเมตรก็เสร็จเรียบร้อย นี่เป็นลายวอลเปเปอร์ที่เลือกสรรมาทั้ง 2 สีค่ะ ดูสีจืดกว่าที่ออกแบบไว้นิดนึงแต่ก็ยังอยู่ในคอนเซ็ปต์ที่ออกแบบไว้
ช่างเริ่มติดวอลเปเปอร์แล้วค่ะ
และไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย ได้มาตามที่จินตนาการไว้เลยค่ะ
เมื่อวอลเปเปอร์เสร็จก็ตามมาด้วยการติดผ้าม่านค่ะ เนื่องจากอยากให้บ้านออกมาแนววินเทจ ก็เลยเลือกผ้าม่านสีน้ำตาลอมทอง เพื่อให้โทนสีบ้านเป็นแบบน้ำตาล ทอง และเทา ด้วยความที่เราไม่ได้ให้อินทีเรียดีไซเนอร์เขามาช่วยก็เลยต้องช่วยกันคิดเอง เลือกสีเอง เพื่อให้มันไม่หลุดกรอบการออกแบบของเราค่ะ
ช่างเริ่มมาติดตั้งผ้าม่านแล้วค่ะ ช่างผ้าม่านนี้ได้มาจากการดูรีวิวในเฟซบุ๊ก เขาดูมีผลงานเยอะและที่สำคัญราคาเป็นกันเอง คุณภาพอยู่ในระดับพอใจมาก หากมีผู้ใดสนใจก็เข้าไปดูได้ใน “งามวิไลผ้าม่าน รับออกแบบ-ติดตั้งผ้าม่าน” เรื่องแบบนี้ของดีเราต้องบอกต่อ ไม่ได้ค่านายหน้าแต่อย่างใดนะคะ แบบผ้าม่านที่เจ้าของกระทู้เลือกคือ ผ้าม่านจีบแบบมีกล่องครอบ ชอบแบบนี้เพราะมีความพิเศษตรงที่มีกล่องบังรางม่านเพื่อความเรียบร้อย แต่มันเหมือนดูมีอะไรขึ้นมานิดนึงเมื่อเทียบกับแบบม่านจีบธรรมดา
ผ้าม่านห้องนั่งเล่นค่ะ
.
โซนห้องกินข้าวและครัวค่ะ
.
.
โซนห้องนอนใหญ่ค่ะ
.
ห้องนอนที่ 2
ห้องนอนที่ 3
เนื่องจากไม่ได้ตกแต่งห้องนอนที่ 2 และ 3 ก็เลยติดผ้าม่านไว้อย่างเดียวก่อนค่ะ เพื่อจะให้ผ้าม่านเป็นแบบเดียวกันทั้งบ้าน แต่ผ้าม่านที่ติดในห้องนอน 2 และ 3 เป็นแบบม่านตาไก่และม่านชั้นเดียวเพราะเป็นห้องที่ยังไม่ค่อยได้ใช้งาน แต่ผลงานก็ปรากฏออกมาสวยไม่แพ้ม่านจีบแบบมีกล่องเลย เพราะม่านตาไก่มันจะมีเสน่ห์ตรงลอนม่านที่ดูพลิ้ว สวยไปอีกแบบค่ะ
หลังจากติดตั้งผ้าม่านเรียบร้อยก็มาเริ่มทำบิวท์อินตามห้องต่าง ๆ ที่ต้องการ ห้องที่เจ้าของกระทู้ทำบิวอินท์แบบเต็มตัวคือห้องครัวค่ะ เพราะอยากให้มีพื้นที่ใช้สอยมากที่สุดและลงตัวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เราเลือกไว้ ก็เลือกเฟอร์นิเจอร์แบบกึ่งบิวท์อินเป็นชุดวางทีวีกับตู้เสื้อผ้า Walk-in ในห้องนอนใหญ่ และชุดวางทีวีในห้องนั่งเล่น
เริ่มต้นด้วยบิวท์อินแบบเต็มตัวในห้องครัวด้วยคอนเซ็ปต์แนววินเทจ แต่มีงบประมาณจำกัดและเลือกความสามารถในการกันน้ำของตัวปิดผิวที่บานหน้าตู้ ก็เลยได้ครัวมาแบบกึ่งวินเทจกึ่งโมเดิร์น หน้าบานสีขาวปนครีมและท็อปหินสีดำ อาจจะไม่ได้วินเทจจ๋า แต่ก็ติดกลิ่นอายนิดหน่อย (ออกแบบรายละเอียดของบิวท์อินในครัวเองค่ะ แทบไม่เปลืองแรงช่างเลย เพราะเราอยากได้ฟังก์ชั่นและตำแหน่งแบบถูกใจไปเลยค่ะ)
ความพิเศษของครัวที่เจ้าของกระทู้ออกแบบคือ ตัวตู้ลิ้นชักมีล้อและสามารถเลื่อนไปไหนมาไหนได้ ภายในตู้ออกแบบให้เป็นที่ใส่ช้อน ส้อม ตะเกียบ และซอสต่าง ๆ ก็เลยคิดว่ามันควรจะเลื่อนไปไหนมาไหนได้ เพื่อให้หยิบของภายในได้ เสิร์ฟถึงโต๊ะอาหารได้ และที่สำคัญมีความแข็งแรงระดับหนึ่ง เมื่อนำเบาะมาวางมันสามารถเป็นเก้าอี้นั่งได้สบาย ๆ สำหรับคนที่มีน้ำหนักไม่เกิน 70 กิโลกรัมด้วยค่ะ
ช่างเริ่มมาติดตั้งค่ะ
อันนี้คือตู้สูงหน้าแคบค่ะ ออกแบบไว้เพื่อให้ใส่อาหารแบบเป็นขวด โหล หรือกระป๋อง และสามารถหยิบใช้งานได้ง่ายค่ะ
และนี่คือพ่อพระเอกตู้ลิ้นชักเคลื่อนที่ได้ ช่างทำออกมาได้แบบไม่เห็นล้อโผล่ออกมาเลยค่ะ เนียนมาก
แม้แต่ปุ่มจับและที่จับก็ขอเลือกเองค่า อาจจะดูเยอะแต่ถูกใจ ใส่ใจทุกรายละเอียดค่ะ
.
เป็นรูปเป็นร่างแล้วค่ะ บิวท์อินครัวที่ออกแบบไว้ แต่มันติดตรงที่ช่างบอกว่าปูกระเบื้องไม่เก่ง ขอเก็บการปูกระเบื้องผนังไว้ให้ช่างคนอื่นดีกว่า มันก็เลยเสร็จแบบผนังเปลือย ๆ ค่ะ
.
.
เมื่อช่างบอกว่าปูกระเบื้องไม่เก่ง คิดไปคิดมาก็ลงมาลงเอยที่ว่า “งั้นเราลองปูกระเบื้องเองสักตั้ง” จากนั้นก็เริ่มหาขอมูลจากกูเกิลและยูทูบเลยค่ะว่าต้องทำยังไงบ้าง โชคดีที่เวิร์กช็อปที่ทำงานมีเครื่องสารพัดตัด เพียงแค่ไปซื้อใบมีดตัดกระเบื้องมาก็สามารถตัดกระเบื้องได้ตามต้องการแล้ว ไม่ยากอย่างที่คิด เริ่มต้นที่ลองวัดขนาดกระเบื้องที่ต้องการ แล้วตัดขนาดตามแบบพื้นที่ที่มีอยู่ กระเบื้องที่เลือกมาเป็นแบบวินเทจสีโทนเขียวเพื่อความสบายตา
.
อันนี้คือช่างตัดกระเบื้องส่วนตัวค่ะ มือใหม่หัดตัด
ต่อมาก็เป็นการผสมปูนทาผนังเพื่อติดกระเบื้องค่ะ อุปกรณ์และการผสมปูเขียนอยู่ที่ข้างถุงปูนชัดเจนค่ะ ทุกอย่างไม่ยากอย่างที่คิด ส่วนผสมคือปูนกับน้ำคือ อัตราส่วน 3:1 เมื่อผสมเรียบร้อยแล้วก็ทิ้งไว้ 15 นาทีค่ะ
.
.
เมื่อครบเวลาก็ปูโดยการปาดปูนบนผนังและกระเบื้องทั้ง 2 ด้าน พร้อมปาดด้วยเกรียงหวี เพื่อให้กระเบื้องติดได้ดี
.
สุดท้ายก็เป็นการอวดครัวบิวท์อินแนวกึ่งวินเทจกึ่งโมเดิร์นและตู้ลิ้นชักค่ะ
.
.
อุปกรณ์คว่ำจานที่ไม่ต้องเจาะผนังและไม่เปลืองพื้นที่ด้านข้างค่ะ สามารถวางบนอ่างล้างจานได้เลย
เมื่อบิวท์อินครัวเสร็จ ก็ไปทำเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวกึ่งบิวท์อิน ช่างมีความเป็นมืออาชีพสูงมากค่ะ แทบไม่ได้ดูแบบเลย มาถึงไม่พูดพร่ำทำเพลง ถามแต่ตำแหน่งติดตั้ง ที่เหลือช่างก็วัด ๆ ไข ๆ เจาะ ๆ ติด ๆ แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็เสร็จค่ะ
เสร็จแล้วค่ะ ชั้นวางทีวีห้องนอนใหญ่
ต่อด้วยเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวกึ่งบิวท์อินเป็นตู้เสื้อผ้าแบบ Walk-in ในห้องนอนใหญ่ค่ะ
เสร็จแล้วค่ะ ตู้เสื้อผ้า Walk-in ในห้องนอนใหญ่
.
.
ต่อด้วยเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวกึ่งบิวท์อินเป็นชั้นวางทีวีห้องนั่งเล่นชั้นล่างค่ะ
เสร็จแล้วค่ะ ชั้นวางทีวีที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่าง
เมื่อบิวท์อินทุกส่วนได้เสร็จสมบูรณ์ ต่อไปก็ถึงคิวการเอาเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวต่าง ๆ มาตั้งค่ะ เริ่มต้นด้วยห้องนอน ที่นอนที่เลือกเป็นที่นอนแบบพ็อกเกตสปริง (Pocket Spring) ซึ่งติดใจที่นอนแบบนี้มาจากการไปนอนโรงแรมและรีสอร์ทหลาย ๆ ที่ เพราะมันช่างนิ่มและดูดวิญญาณยิ่งนักเมื่อล้มตัวลงไป ผ้าปูที่นอนได้เป็นของแถมมาจากการซื้อที่นอน รวมของแถมทั้งหมดก็ 12 ชิ้นค่ะ อีกทั้งเป็นลายดอกไม้เข้ากับคอนเซ็ปต์วินเทจที่วางไว้เลยค่ะ
ห้องนอนใหญ่ค่ะ
.
.
.
.
ผ้าม่านปิดตู้เสื้อผ้า Walk-in เป็นผ้าม่านโปร่งกั้นค่ะ เพราะถ้ากันด้วยผนังหรือกระจกกลัวว่าจะทำให้ห้องดูแคบลง หากเป็นผ้าม่านโปร่งมันก็จะดูห้องกว้างขึ้นนิดนึงค่ะ และสามารถบังรายละเอียดของเสื้อผ้าที่เก็บได้มากกว่าบานกระจก ที่สำคัญประหยัดงบค่ะ
ลงมาต่อที่โซนบันไดค่ะ ได้มีการติดโคมไฟและติดรูปประดับผนังด้วยค่ะ รูปที่เลือกเป็นรูปที่ทุก ๆ บ้านต้องมีนั่นคือในหลวงของเรานั่นเอง รูปนี้ทุกคนอาจจะคุ้นตามาก เพราะได้มาจากปฏิทินที่แจกมาจากธนาคารหนึ่งและเข้าธีมวินเทจของเรายิ่งนัก
.
ทางลงบันไดก็ประดับเพิ่มด้วยรูปส่วนตัวและใบประกาศการจบการศึกษาจากสถาบันที่รักค่ะ
มาถึงชั้นล่างก็ลงมาเจอนาฬิกาที่เป็นตัวบอกเวลาของบ้านค่ะ ความพิเศษของเจ้านาฬิกานี้ นอกจากจะเป็นนาฬิกาสไตล์วินเทจตามที่เราตั้งไว้แล้ว มันยังมี 2 ด้านค่ะ จะขึ้นบ้านหรือลงมาจากบ้านก็สามารถดูเวลาได้ค่ะ เชื่อว่าหลาย ๆ บ้านมีนาฬิกาแบบนี้ค่ะ
มาต่อด้วยโซนนั่งเล่น พักผ่อน และดูทีวีค่ะ โซฟาที่เลือกมาก็พยายามให้เป็นสีน้ำตาลและพรมก็พยายามให้เป็นสีทองค่ะ ส่วนรูปติดผนังก็คือรูปตัวเองและช่างปูกระเบื้องเมื่อสักครู่นั่นเองค่ะ
เจ้าพัดลมแนววินเทจนี้ก็พยายามหาหัวขวิด เนื่องจากอยากได้แบบตะแกรงถี่เพื่อความปลอดภัย ไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุนิ้วเข้าไปติดแบบไม่ตั้งใจค่ะ
ส่วนโคมไฟตั้งพื้นแนวยุโรป ก็ไปสรรหามาจากเขาใหญ่เลยทีเดียว ได้มาด้วยความบังเอิญจากการไปเที่ยวค่ะ พอเจอปุ๊บมันถูกชะตา ก็เลยหิ้วกลับมาจากเขาใหญ่เลยค่ะ
มุมชั้นวางทีวีก็ประดับไปด้วยของที่เราไม่ได้ซื้อใหม่เลย แต่ได้มาจากของสะสมที่เราได้ไปเที่ยวในที่ต่าง ๆ
.
.
.
เมื่อมองภาพรวมของห้องนั่งเล่นก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ
มาต่อกันที่โซนกินข้าวค่ะ ทั้งโต๊ะและเก้าอี้พยายามเลือกให้เข้ากัน เพื่อให้ได้เข้ากับแนววินเทจที่ต้องการค่ะ
.
.
ครบแล้วค่ะ กับการตกแต่งบ้านหลังแรกของตัวเจ้าของกระทู้แนววินเทจแบบเลือกนั่นผสมนี่เอง หวังว่าจะเป็นไอเดียให้กับอีกหลาย ๆ คนที่ต้องการแต่งบ้านแนววินเทจนะคะ
ที่มา : สมาชิกหมายเลข 1381050