การอุ่นอาหารด้วยไมโครเวฟเป็นสิ่งที่ง่ายและรวดเร็ว เรียกได้ว่าตอบสนองชีวิตของคนยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี ‘ไมโครเวฟ’ จึงเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
วันนี้ทางเว็บในบ้านมีข้อแนะนำดีๆมาฝากเกี่ยวกับการใช้ไมโครเวฟครับ ซึ่งจะเป็น 5 สิ่งที่ไม่ควรนำไปใช้กับ ไมโครเวฟ หลายๆคนอาจจะยังไม่เคยรู้นะ
5 สิ่งที่ไม่ควรนำไปเข้า ‘ไมโครเวฟ’ ที่คุณอาจไม่รู้มาก่อน
1. นมแม่
สำหรับคุณแม่ การให้น้ำนมลูกนั้น นอกจากจะเพื่อให้เด็กเจริญเติบโตแล้ว ยังเป็นการเพิ่มแอนติเจน หรือภูมิคุ้มกันร่างกายนั่นเอง
แต่หากนำนมเอาแม่ที่คั้นแล้วไปอุ่นในไมโครเวฟ ไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ เนื่องจากผลการวิจัยได้ค้นพบว่าอุณภูมิที่พอเหมาะของไมโครเวฟจะทำให้เชื้อแบคทีเรียอีโคไลในน้ำนมเติบโตขึ้นถึง 18 เท่า อาจจะเป็นอันตรายต่อเด็กได้ครับ
2. ผักบล็อคโคลี่
การใช้ความร้อนในการทำอาหารประเภทผัก ไม่ว่าจะเป็น นึ่ง หุง ต้ม ผัด หรือทอด ต่างก็ทำให้สูญเสียสารอาหารในผักทั้งสิ้น ทั้งนี้อัตราการสูญเสียก็แล้วแต่วิธีการที่แตกต่างกันไป
จากผลการวิจัย การนำผักบล็อคโคลี่ไปใช้กับไมโครเวฟ ทำให้สูญเสียสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในผักถึง 97% เลยทีเดียว
3. ผัก – ผลไม้แช่แข็ง
การแช่แข็งผลไม้หลังการเก็บเกี่ยวเป็นอีกวิธีที่จะรักษาคุณค่าทางอาหารของผลไม้นั้นๆได้ และเราคงจะเคยเห็นในห้างสรรพสินค้า ที่มีการนำเอาผลไม้แช่แข็งมาวางขายกันบ้าง
แต่จากบทความนี้ ได้กล่าวไว้ว่า การนำเอาผลไม้แช่แข็งไปใช้กับไมโครเวฟ อาจจะทำให้น้ำตาลที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในผลไม้เปลี่ยนสภาพกลายเป็นสารก่อมะเร็งครับ
4. เนื้อสัตว์
การนำเอาเนื้อสัตว์แช่แข็งไปละลายในไมโครเวฟ อุณหภูมิที่พอเหมาะจะทำให้เชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อร่างกายเจริญเติบโต ดังนั้นจึงควรทำให้หมดในครั้งเดียว ไม่ควรเก็บไว้ทำอาหารในครั้งต่อไป นอกจากนี้ผลการวิจัยจากญี่ปุ่นเผยว่า การนำเอาเนื้อสัตว์ไปทำอาหารในไมโครเวฟเกิน 6 นาที จะทำให้วิตามิน B-12 ในเนื้อสัตว์ลดลงไปครึ่งหนึ่งเลยล่ะ
วิธีการที่ดีที่สุดในการละลายน้ำแข็งของเนื้อสัตว์แช่แข็งก็คือการนำไปแช่น้ำหรือแช่ตู้เย็นช่องธรรมดา เป็นเวลาหนึ่งคืน
5. ภาชนะอาหารที่ทำจากพลาสติก
พลาสติก คือวัสดุที่ทำจากกรรมวิธีทางเคมี เต็มไปด้วยสารก่อมะเร็ง และสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งในปัจจุบันนี้ใช้สอยกันอย่างแพร่หลาย
จากผลการวิจัย การนำเอาจานพลาสติกหรือ ฟิล์มพลาสติกห่ออาหาร เข้าไปอุ่นพร้อมๆกับอาหารในไมโครเวฟโดยตรง จะทำให้สารพิษในพลาสติกกระจายสู่อาหาร เป็นอันตรายต่อร่างกายครับ
ที่มา : Lifehack