สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในบ้านพักของทางหลวง คงไม่มีใครคิดจะลงทุนเสียเงินในการตกแต่งเป็นแน่ เพราะเมื่อถึงเวลาเราก็ต้องยกบ้านให้กับคนอื่นได้อยู่อาศัยต่อไป แต่บางครั้งหากคำนวณดีๆ ล่ะก็ การลงทุนตกแต่งบ้านพักที่ไม่ใช่ของเราเอง อาจจะคุ้มค่าในระยะยาวก็เป็นได้
เหมือนกับคุณหมอคนนี้ ที่ได้ตัดสินใจไม่ซื้อบ้านใหม่ แต่กลับรีโนเวทบ้านพักเก่าอายุ 30 กว่าปี ให้กลายเป็นบ้านใหม่สำหรับอยู่อาศัยไปยาวๆ จนถึงเกษียณเลย หลายคนอาจจะคิดสงสัยกันว่าคุ้มหรือไม่ ต้องลองไปดูกันครับ กับรีวิวฉบับนี้โดยคุณ สาลิกาโบยบิน
ปลุกบ้านอายุ 30 ปี ให้อยู่ได้อีก 30 ปี (สาธุ)
(โดย สาลิกาโบยบิน)
หลังจากที่เคยตั้งกระทู้ขอคำแนะนำเพื่อน ๆ ในห้องชายคาเมื่อต้นปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับการรีโนเวทบ้าน สุดท้ายจากการระดมความคิดเห็นทั้งจากเพื่อน ๆ และคนรอบตัวสรุปว่า ในเมื่อตั้งใจจะทำงานอยู่ที่นี่อีกนาน (เจ้าของบ้านเดิมก็อยู่จนเกษียณ) เพราะทั้งคนไข้ เพื่อนร่วมงาน และผู้บังคับบัญชาก็น่ารัก เลยคิดซ่อมบ้านหลังนี้ดีกว่า และทำทั้งทีกะอยู่นานก็คงต้องซ่อมใหญ่จะได้อยู่ยันเกษียณไปเลย (เพี้ยง)
ก่อนที่จะไปต่อขอแจกแจงก่อนนะครับ เผื่อหลายคนสงสัยว่าทำไมทำขนาดนี้ ไม่ซื้อบ้านไปเลย ก็เหตุผลตามนี้ครับ
1. ผมทำงานในโรงพยาบาลตลอด อยู่เวรก็โดนตามบ่อย ฉะนั้นมีบ้านในโรงพยาบาลที่สามารถเดินไปทำงานได้ 5 นาทีถึง ถือว่าสะดวกมากครับ
2. ค่าบ้านข้างนอก ถ้าเอาพื้นที่ขนาดนี้ (หน้ากว้าง 14 เมตร ลึก 17 เมตร พื้นที่ใช้สอยผมทำไป 300 ตารางเมตร) ทำเลขนาดนี้ ราคาตลาด ผมว่ามี 4-5 ล้านบาทได้ครับ แถมอยู่นอกโรงพยาบาลอีก ถ้าโดนตามดูคนไข้แต่ละทีต้องขับรถฝ่ารถติดมาดูครับ
3. สิ่งแวดล้อม ในเมื่ออยู่ในโรงพยาบาล ซ้าย-ขวา-หน้า-หลัง ก็เป็นหมอและพยาบาลหมด ก็ถือว่าน่าจะอุ่นใจได้ในระดับนึง
4. อยู่ในโรงพยาบาลค่าน้ำ-ค่าไฟก็เบิกได้บางส่วน อย่างน้อยเดือนละ 200-300 บาท ก็ประหยัดได้อีกส่วนนึงครับ
5. นึกไม่ออก
พอนับข้อดีได้ 5 ข้อแล้ว ก็เลยตัดสินใจทำบ้านพักในนี้แหละครับ
แล้วผมก็เริ่มหาไอเดียหลังจากนั้นครับ ทั้งในห้องชายคา พวกหนังสือเกี่ยวกับบ้านกับการออกแบบ และเว็บไซต์ต่าง ๆ มาผสมผสานกัน จนออกมาเป็นบ้านหลังนี้ครับ
แต่ก่อนหน้านั้นเคยมีคำถามว่าทำขนาดนี้กับของหลวงได้หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ผมเองก็กังวลอยู่ แต่จากการสอบถามจากหัวหน้าและผู้บังคับบัญชาหลาย ๆ ระดับ เพื่อนร่วมงานหลาย ๆ ท่านที่ปรับปรุงบ้านหลวง ทุกคนก็บอกว่าทำไปเฮอะ ขอให้ดูดีก็พอ แต่ที่สำคัญต้องจำไว้คือถ้าย้ายก็ต้องทิ้งไว้ให้หลวงนะ ถอดยกไปไม่ได้ แต่ถ้าไม่ทำชั่วร้ายแรงก็คงอยู่ได้ถึงเกษียณนั่นแหละ ซึ่งจากตรงนี้ผมก็สบายใจในระดับนึงครับ คิดว่าทำทั้งทีขอให้อยู่สบาย ๆ เราไปเที่ยวไม่กี่วันยังหมดเป็นหมื่น ถ้าอยู่ถึงเกษียณจริง ใครจะมาอยู่ต่อก็ให้เขาไปเถอะ
แบบภายนอก พอเสร็จก็ตัดออกบ้าง ตามงบและความจำเป็นครับ
แบบภายในบางส่วน (เช่นกันครับตอนแรกอินทีเรียใส่มาเยอะกว่านี้มาก แต่ผมขอตัดออกก่อนเพราะงบหมด โดยเน้นขอให้ช่วยเลือกสี วัสดุ และการตกแต่งเป็นหลัก บิวท์อินน้อย ๆ แล้วก็ขอเฟอร์นิเจอร์ลอยแทนเพราะเคลื่อนย้ายได้)
ขอเม้าท์นิดนึงนะครับ ก่อนหน้านี้เวลาเราอ่านเกี่ยวกับอินทีเรียจะรู้สึกจำเป็นไหม แพงไหม เว่อร์ไปรึเปล่า ซึ่งตรงนี้พอมีโอกาสได้ทำงานกับอินทีเรียจริง ๆ พบว่าเขาช่วยเราได้เยอะมากนะครับ ช่วยหลาย ๆ เรื่องที่เราต้องตัดสินใจ ทั้งเลือกสี เลือกกระเบื้อง เลือกเฟอร์นิเจอร์ คือปกติคนเราจะสร้างบ้านกันแค่หลัง 2 หลัง แต่อาชีพนี้ผ่านการออกแบบบ้านมาหลายหลัง ฉะนั้นเขาก็จะมีมุมมองเกี่ยวกับการเลือกวัสดุ การจัดวางของให้ได้ประโยชน์คุ้มค่า ของหลายอย่างไม่ต้องแพงแต่วางออกมาแล้วสวย สรุปพอบ้านเสร็จก็ปลื้ม สวยดี ชอบมากครับ
ส่วนลานจอดรถเดิมปูไม้คอนวูด จัดหลังคาโปร่งแสงตราช้างเข้าไปเพื่อเพิ่มความสว่าง แล้วก็ใช้รั้วสีดำแบบโมเดิร์นหน่อย
ส่วนลานจอดรถจริง ๆ เทพื้น ปูกระเบื้องพอร์ซเลน หลังคาเมทัลชีท พร้อมประตูเข้าด้านข้างอีกอันครับ จอดเสร็จจะได้เข้าบ้านเลย
ห้องโถงต่อเติมจากเดิมมาสุดพื้นที่บ้านด้านหน้า ทำให้ได้พื้นที่เพิ่มมาพร้อมโต๊ะเขียนหนังสือเด็กสีชมพูแปร๊ด (โลตัสมีแต่สีนี้อะ ขัดกับสไตล์โมเดิร์นไปนิด แต่ลูกชอบมาก) ห้องนี้ใช้งานมากสุดแล้วครับ มีโซฟา, ทีวี, คอมพิวเตอร์ และของเล่นเด็กด้วย
ห้องกินข้าวและครัวใน
อันนี้ต่อมาจากห้องโถงครับ แบ่งด้วยประตูกระจก มีครัวในและตู้เย็น 2 ตู้ (มีลูกสองคน 4 ขวบกับขวบครึ่งแต่ของเยอะมาก) ผนังใส่กระจกเงา 1 บาน เพราะอินทีเรียบอกว่าจะได้เพิ่มมิติและทำให้ด้านในดูกว้าง
ครัวนอก
อันนี้ต่อเติมเพิ่มจากบ้านเดิมครับ ลงเข็มตอม่อเรียบร้อย หลังคาเมทัลชีทครับ เอาไว้ทำอาหารเป็นหลัก ข้างหลังบ้านโล่ง ใส่หน้าต่างเยอะ ๆ พร้อมปล่องดูดควัน อีกฝั่งเป็นเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้า อนาคตอันไกลน่าจะมีเครื่องล้างจาน (แม่บ่นว่าอยู่กัน 4 คน ทำกับข้าวก็ไม่เป็น ทำครัวใหญ่กว่าร้านข้าวแกงอีก)
เดิมข้างบ้านมีต้นมะขามเรียงเป็นแนวรั้ว แต่คุณแฟนรู้สึกรกและทำความสะอาดยาก ก็เลยเทพื้นปูนขัดมัน และทาสีกำแพงด้วย แต่ทำแล้วก็สวยดีครับ
ประตูครัวเปิดไปเป็นที่ลานกว้าง มีมุมวางถังน้ำ 1,500 ลิตร ปั๊มน้ำคิคาวะ และเอาไว้ซักล้าง (พูดไปอย่างนั้นแหละครับ อยู่มาจะ 2 เดือนแล้ว ซักกับเครื่องตลอดเลย) แดดเปรี้ยงคุณแม่บ้านยังอบผ้าเลยครับ
ห้องโถงเล็ก ซึ่งตอนนี้เอาไว้ใส่ของเด็กกับเสื้อผ้าเด็กครับ อนาคตคงเอาไว้เป็นห้องสำหรับญาติผู้ใหญ่เวลาแก่ ๆ จะได้ไม่ต้องขึ้นบันได ติดแอร์ ทำไฟเรียบร้อย
เดิมห้องน้ำล่างจะเล็กมาก แต่ผมอยากได้ห้องน้ำใหญ่ ๆ ก็เลยทลายผนังข้างหลังออก ก็ได้พื้นที่เพิ่มมาอีกเท่านึง แบ่งโซนเปียกแห้ง ใช้ผนังกั้น ตอนแรกกะทำเป็นกระจก แต่คุณแฟนทักว่าทำความสะอาดยาก เลยตัดสินใจใช้ผนังปูกระเบื้อง อินทีเรียเลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นเจาะแถวกลางไว้หน่อยจะได้ไม่ทึบ และเจาะช่องแสงธรรมชาติ สรุปดีงามครับ
บันไดเป็นไม้แดง ราวเหล็ก เลยจัดการทาสีใหม่ให้ดูเข้มขึ้น ใส่บล็อกแก้วเพื่อเพิ่มแสงจากภายนอก ยกหน้าต่างให้สูงขึ้น ใส่ผ้าม่านทิ้งตัวให้ดูสูงโปร่ง ส่วนอินทีเรียก็ออกแบบโคมไฟต่างระดับทั้งหมด 3 อัน สวยดีครับ
ห้องน้ำชั้นบนเปลี่ยนทุกอย่างเลยครับ ทั้งพื้น ผนัง สุขภัณฑ์ กระจก บานเกล็ด แล้วก็ติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นด้วยครับ
ห้องนอนเล็กเดิมเป็นพื้นไม้ครับ แต่ขัดสีแล้วก็ลงสี ทำฝ้า ใส่ไฟใหม่ เอาเฟอร์นิเจอร์มาตั้งไว้สำหรับรับแขก แล้วก็เผื่อเวลาที่คุณพ่อ-คุณแม่มาเยี่ยมครับ
ห้องแต่งตัวเดิมเป็นห้องนอนมาก่อนครับ ผมก็ทำสีใหม่ กั้นประตูกระจก ตู้เสื้อผ้าใหญ่ยักษ์ 2 ตู้ (จะได้ไม่มาเบียดตู้เรา)
ห้องนอนหลัก ตรงนี้แหละครับที่ทำให้ใช้เงินเยอะ เพราะเป็นส่วนที่ทำเพิ่มจากของเดิม และด้วยความที่อยากได้ห้องนอนใหญ่ ๆ สำหรับลูก ๆ ด้วย ก็เลยต่อเติมทำชั้นสองขึ้นมา โดยให้วิศวะมาช่วยดูแลด้วย เพราะบ้านเก่าแล้วกลัวมันทรุด เลยต้องลงเข็ม ทำตอม่อ โครงเหล็ก และก็ปูพื้นด้วยสมาร์ทบอรด์จะได้เบาครับ จากนั้นก็ปูด้วยกระเบื้องยางลายไม้ หลังคาเป็นเมทัลชีทกรุฉนวนครับ
ก็ออกมาเป็นแบบนี้ครับ เลยได้ห้องนอนยาวสมใจ
และก็ใช้ที่นอน 6 ฟุต 2 ตัวต่อกันครับ นอนกัน 4 คนพ่อ แม่ ลูก ต่อจากห้องนอนเป็นระเบียงครับ ปูกระเบื้องไว้ตากผ้าเล็กผ้าน้อย มีซิงค์ไว้ล้างขวดนมด้วย
เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ใช้ของอินเด็กซ์ครับ ขึ้นไปเลือกกับอินทีเรียที่กรุงเทพฯเลย เพราะมีบริการจัดส่งมานครศรีธรรมราชด้วย ประกอบให้เสร็จสรรพ ไม่อย่างนั้นถ้าเอามาประกอบเอง ป่านนี้อาจยังไม่เสร็จครับ ส่วนระบบน้ำ ระบบไฟ เดินใหม่หมดทั้งบ้านครับเพื่อความปลอดภัย และเนื่องจากอยู่เองก็ใช้ของมีมาตรฐานหน่อย อะไรเขาว่าดีจัดมาหมดครับ
ส่วนงบทั้งหมดรวมเฟอร์นิเจอร์ด้วย ประมาณ 2 ล้านกว่า ๆ นะครับ ใช้เวลาประมาณ 4 เดือนครับ เป็น 4 เดือนที่เหนื่อยมาก ๆ มีเรื่องปวดหัวทุกวัน ทั้งเรื่องแบบ เรื่องช่าง เรื่องของ เรื่องวัสดุ มีเรื่องบ่นได้งอนกับแฟนเกือบทุกวัน แต่พอเสร็จแล้วก็มีความสุขมาก ๆ ครับ เพราะนี่บ้านของเราครับ (ลืม ๆ ของหลวงครับ แต่เราสร้างครอบครัวที่นี่กันครับ) จบแล้วครับสำหรับการรีวิว ปลุกบ้านอายุ 30 ปีครับ ตอนนี้เข้ามาอยู่ได้ 2 เดือนแล้วครับ ทำบุญบ้านเรียบร้อย ยังไม่ค่อยคุ้นครับเพราะอยู่หอมา 10 กว่าปี พอมีบ้านใหญ่ขึ้น เลยรู้สึกทำไมเก็บกวาดไม่หมดสักที ประกอบกับตัวเล็กวัยกำลังรื้อเลย รกทั้งวันครับ (ภาพที่ลงนี่บางรูปเอารูปก่อนย้ายเข้ามาลงให้ดู จะได้ไม่รกมาก) หลาย ๆ อย่างก็ค่อย ๆ หาซื้อมาเติมครับ อาจยังไม่สมบูรณ์แบบมาก หลายอย่างก็ตัดไปตามงบก่อน แต่โดยรวมครอบครัวผมก็พอใจมากเลยครับ
ที่มา : สาลิกาโบยบิน