ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสารโดยเฉพาะอินเตอร์เน็ตทำให้การติดต่อสื่อสารมีความสะดวก รวดเร็ว ต่อยอดให้เกิดช่องทางการประกอบอาชีพขึ้นมามากมาย ทั้งด้านธุรกิจด้านสื่อ ธุรกิจค้าขายออนไลน์ และอื่นๆ อีกมากมายที่ทำให้การหารายได้ทำได้ง่ายขึ้นตั้งแต่อายุน้อยๆ หลายคนจึงสามารถที่จะซื้อบ้านด้วยตัวเองได้ตั้งแต่อายุน้อยๆ
วันนี้ ในบ้าน ก็จะมาแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ให้กับเพื่อนๆ ด้วย “ประสบการณ์การซื้อบ้าน จากการประกอบอาชีพทำธุรกิจออนไลน์” ของคุณ สมาชิกหมายเลข 1974246 สาวน้อยวัย 23 ที่สามารถสร้างรายได้ผ่านการทำธุรกิจออนไลน์ จนสามารถเป็นมีบ้านเป็นของตัวเองได้ ไปชมกันเลยครับ ว่าจะมีแนวทางและแนวคิดอย่างไรกันบ้าง
แชร์ประสบการณ์ “ซื้อบ้านด้วยตัวเอง” แบบฉบับแม่ค้าออนไลน์วัย 23
(โดยคุณ สมาชิกหมายเลข 1974246)
ก่อนอื่นต้องบอกว่าเราทำงานนู่นนี่มาตั้งแต่ก่อนเข้ามหาลัย หาอะไรที่ชอบทำไปเรื่อย แต่ไม่เคยคิดเรื่องการซื้อบ้านไว้เลย ตอนนั้นทำเพราะอยากมีเงินใช้เพิ่ม และอยากมีรถเป็นของตัวเอง แต่ไม่อยากรบกวนที่บ้าน
พอทุกอย่างเริ่มลงตัว เราจึงอยากหาเป้าหมายใหม่ๆ ให้ตัวเอง มาเข้าเรื่องเลยน้า อันนี้เราเขียนขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางและกำลังใจให้คนที่กำลังอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง หรือคนที่ยังไม่มีสลิปเงินเดือนแต่อยากรู้วิธีการเตรียมตัวซื้อบ้านคร่าวๆ
ทุกคนมีโอกาสทำได้แค่ต้องเตรียมตัวให้พร้อม ซึ่งเรารีวิวในฐานะคนที่พร้อมบ้างไม่พร้อมบ้าง เพราะลองผิดลองถูกหลายอย่างเหมือนกันค่า
การเตรียมตัวของเราก็มีตามนี้เลย
1. หลักฐานทางการเงิน
เราทำธุรกิจออนไลน์ แน่นอนเราไม่มีสลิปเงินเดือน แต่เราสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้ตัวเองได้โดยการเดิน statement หรือบัญชีของเราให้ดี ให้มีเงินหมุนเวียนในบัญชี ถ้าเป็นขายของหน้าร้านก็เอาเงินเข้าให้ได้บ่อยที่สุด
2. บัตรเครดิต
สนับสนุนให้หลายๆ คนทำนะ เหตุผลเอาไว้ว่ากันทีหลัง แต่ไม่มีสลิปเงินเดือนจะทำได้ยังไง (?) วิธีที่เราทำคือการใช้เงินสดค้ำประกันเพื่อทำบัตรเครดิต ของธนาคารกรุงศรี มีให้นักศึกษาทำ โดยใช้เงินสดค้ำประกันตั้งแต่ 10,000 – 40,000฿
บัตรเครดิตสำหรับเราไม่ได้มองว่ามีเอาไว้ใช้สำหรับผ่อนสินค้า แต่เราคิดว่าเรามีเพื่อเป็นการสร้างเครดิตให้ตัวเอง โดยเราแยกค่าใช้จ่ายส่วนตัวโดยการใช้จ่ายผ่านบัตร และที่สำคัญก็คือการจ่ายตรงเวลา หลายคนอาจสงสัยว่าแล้วต่างจากการใช้จ่ายเงินสดยังไง (?)
สำหรับเรามันต่างเพราะการที่เราใช้จ่ายเงินสดในแต่ละวัน ไม่มีใครรู้ว่าประวัติการชำระเงินของเราว่าดีหรือไม่ดี มีแต่ตัวเราเองที่รู้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คิดว่าอยากจะทำไว้ตั้งแต่ปี 1 เหมือนกัน แต่ก็ยังไม่ช้าไปสำหรับหลายๆ คนนะ ถึงเรียนจบแล้วแต่ถ้าบัตรยังไม่หมดอายุก็สามารถทำได้เหมือนกันค่า
พอเราจบมีสลิปเงินเดือนครบสามเดือนก็ไปเอาเงินค้ำออกมาได้ หรือถ้าใครทำธุรกิจค้าขายออนไลน์ก็จดทะเบียนครบปีนึงแล้วถึงจะนำเงินออกมาได้น้า
3. เงินออม
สำหรับการทำธุรกิจออนไลน์ บางคนอาจใช้วิธีเก็บเงินโดยรวมกับบัญชีที่ใช้ขายของเพราะไม่รู้จะเก็บอย่างไร จริงๆ เราสามารถแยกเป็นอีกบัญชีเลยก็ได้ แต่เราเลือกเก็บโดยเปิดบัญชีฝากประจำ โดยเลือกจำนวนเงินที่เราคิดว่าเราไหวในแต่ละเดือน และอย่างน้อยเงินในบัญชีเงินฝากประจำก็อาจเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยถ้าหากเราต้องใช้ดาวน์บ้านหรือมีค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน
4. เอกสารเกี่ยวกับธุรกิจ
สำคัญมากคือการจดทะเบียนการค้า หลายคนมองว่าเรื่องภาษีเป็นเรื่องน่ากลัว แต่การทำโดยเลี่ยงภาษีเรากลับมองว่ามันน่ากลัวกว่า ตอนแรกเราไม่ได้จดทะเบียนเพราะเราทำงานที่หอพัก และขาดความรู้ในหลายๆอย่าง มาจดช่วงปลายปีที่ผ่านมา ใช้เวลาศึกษาเกี่ยวกับวิธีการจดทะเบียนและการเสียภาษีประมาณ 2 วัน 1 คืนเต็มๆ (หากใครสงสัยเกี่ยวกับตรงนี้สอบถามเพิ่มเติมได้น้า)
ซึ่งการที่เราจดช้าทำให้มีผลกระทบต่อการยื่นกู้บ้านมากพอสมควร เพราะธนาคารมีเกณฑ์ให้ประกอบธุรกิจ 2 ปี เป็นอย่างต่ำ ยกเว้นธนาคารออมสินที่แจ้งไว้ว่า 1 ปี ซึ่งเราก็ไม่ถึง แต่ใช้หลักฐานการเงินอื่นๆมายืนยันอายุงานของเรา และเหตุผลเกี่ยวกับการจดล่าช้า นอกจากนี้เอกสารพวกบิลรายรับ รายจ่ายก็เก็บทุกอย่างเท่าที่เก็บได้ไปเลยจ้า
รวมถึงใบเสร็จที่เราส่งสินค้า และเอกสารสัญญาเช่าพื้นที่ก็สำคัญมากๆ เก็บให้หมดอย่าให้เหลือ เราวางแพลนไว้ตั้งแต่ทำธุรกิจแรกๆเรื่องเอกสาร ถึงแม้ตอนนั้นจะยังไม่ได้อยากได้อะไร แต่เก็บไว้ก็ไม่เสียหาย วันนึงเราอาจจะจำเป็นต้องใช้ ตอนเค้าขอดูเราก็จะได้พร้อมยื่นแบบสวยๆ
5. บัญชีรายรับ – รายจ่าย
จดทุกอย่างที่เราจ่ายไป โดยเราจดใน note ของโทรศัพท์มือถือไว้คร่าวๆในแต่ละเดือน พอจบเดือนจะสรุปลงใน numbers แบบเป็นทางการ และเราเปิดบิลให้ลูกค้าผ่านเว็บ page365 ทำให้บันทึกรายรับของเรามีสรุปในแต่ละเดือนให้อยู่แล้ว รวมถึงเอกสารการจัดส่งและค่าส่งสินค้าด้วยเช่นกัน ก็จะมีแค่รายจ่ายในร้านที่เราจดไว้ใน note เอามาสรุป และจบด้วยการสรุปกำไรขั้นต้นในแต่ละเดือน
6. อื่นๆ
ถ้าใครมีรถปลอดภาระเป็นชื่อตัวเองน่าจะส่งผลดีอยู่เหมือนกันนะ เพราะทุกธนาคารถามถึง แต่เราไม่มีเพราะเราซื้อและผ่อนโดยใช้ชื่อพ่อจ้า
มาถึงการเลือกบ้านที่ใช่และการยื่นกู้ต่างๆ
1. มองหาบ้านในทำเลที่เราอยากอยู่และมองถึงกำลังในการผ่อนที่เราไหว ไม่ใช่ไหวแค่ ณ ตอนนี้ แต่หมายถึงในอนาคตหากเราล้ม หรือมีอะไรมาทำให้สะดุด สำหรับเราคิดว่าเงินสำรองของเราต้องเพียงพอจะผ่อนให้ได้อย่างน้อย 3-4 เดือน ให้เรามีเวลาได้เตรียมตัวเองให้พร้อมเริ่มใหม่ได้ จะได้ไม่เสียเครดิตตัวเอง
2. ลองโทรสอบถามความเป็นไปได้กับเซลล์ที่ขายบ้านในแต่ละที่ สอบถามดูคร่าวๆก่อนยื่นจริงก็ได้ ซึ่งคำตอบหลายๆที่ตอบเรามาว่าเคสเรายากมาก เพราะเราอายุน้อย อายุงานที่จดทะเบียนก็ไม่ถึง 2 ปี และเราจะไม่ใช้คนค้ำ บวกกับปีที่ผ่านมาธุรกิจออนไลน์ทำหนี้เสียไว้เยอะ
และในที่สุดจ้า เจอเซลล์บ้านโครงการที่เรายื่น พี่เค้าบอกมาว่าเคสยากๆ แบบนี้เค้าเคยทำให้ผ่านได้ อยากให้เราลองสู้ดู เราก็ตกลงนัดวันดูบ้านเรียบร้อย
3. มาสู่ขั้นตอนการเริ่มต้นการยื่นกู้ เราเข้าไปดูบ้านตัวอย่าง วางมัดจำการจองบ้าน และเซ็นเอกสาร เรายื่นกู้ผ่านเซลล์ของโครงการ เซ็นไปหลายธนาคารมาก และให้เอกสารที่เราเตรียมมาทั้งหมดกับเซลล์ มีเท่าไหร่ให้หมดเลย โดยพี่เค้าแจ้งว่าธนาคารจะติดต่อกับเราอีกที ทั้งเรื่องผลของการอนุมัติและการขอเอกสารเพิ่มเติม
4. มารีวิวธนาคารแต่ละที่กันจ้า ธนาคารแรกที่โทรมาคือธนาคารตัวเคสีฟ้า โทรมาติดต่อด้วยความรวดเร็ว แล้วก็หายไปเลย มารู้ทีหลังคือเราไม่ผ่านเกณฑ์อายุถึง 25 และอีกข้อคือเกณฑ์อายุงาน 2 ปี เหมือนปกติจะไม่ผ่านได้แค่ข้อเดียว
ธนาคารต่อมาก็คือธนาคารดอกบัวสีน้ำเงิน ตอนแรกรู้สึกมีความหวังมาก เพราะทางพนักงานที่ติดต่อมาให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี ติดอย่างเดียวคือตอนโทรมาสัมภาษณ์ เราขาดสติมาก ไม่โทษใครเลยจ้า โทษตัวเอง เพราะกินยาหลับลึกที่ต้องกินประจำเข้าไป แล้วฝ่ายวิเคราะห์โทรมาตอนสายๆ เราขาดสติระดับที่ถามถึงเงินทุนแล้วเราตอบผิดแบบศูนย์หายไปตัวนึง และตอบแบบไร้สติเกือบทุกคำถาม
หลังจากวางสายก็คิดได้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการทำอะไรก็คือมีสตินั่นเอง วันถัดไปก็รู้ผลเลยว่าไม่ผ่าน รวดเร็วฉับไวมาก พี่พนักงานก็ถามเราใหญ่เลยว่าตอบคำถามอะไรไปบ้าง ซึ่งก็ตามที่เราเล่าไปข้างต้นเลย เบลอมากจริงๆ ธนาคารต่อมาคือธนาคารสีเขียวต้นไม้ใบหญ้า
บอกตามตรงว่าหมดหวังตั้งแต่คุยกับพนักงาน เพราะตอนคุยเค้าขอเอกสารสัญญาเช่าย้อนหลังไปสองปี ซึ่งเราไม่มีเพราะเรามีสัญญาเช่าร้าน multibrand ย้อนหลังมากสุดแค่หนึ่งปี เค้าก็ให้เราไปหามา แต่ก็ยังงงจนถึงทุกวันนี้ว่าไม่มีแล้วจะไปหามาจากไหน
สุดท้ายพนักงานตัดบทด้วยการบอกว่าถ้ามีไม่ถึงย้อนหลังสองปีก็ยื่นให้ได้แต่โอกาสไม่ผ่านสูงมากนะ เราก็ตอบโอเคค่ะ จบบทสนทนา แล้วก็ไม่ผ่านจริงๆ มาต่อกันที่ธนาคารสีม่วง ให้ยอดวงเงินสูงมากพอๆ กับการให้ความหวังเราเลย พนักงานมาขอข้อมูลและสรุปวงเงินที่ได้มาเรียบร้อย ได้เกินมาสามแสนกว่าๆ แต่พนักงานมาๆ หายๆ
สรุปก็คือต้องการให้มีคนกู้ร่วม ให้เราลองไปคุยกับคนในบ้าน แต่ด้วยความตั้งใจแรกของเราว่าเราจะไม่กู้ร่วมกับใคร ถ้าไม่ได้คือไม่ได้ ก็บอกเค้าว่าเราไม่ต้องการกู้ร่วม เค้าก็บอกมาว่าจะไปคุยให้ว่ามีวิธีอื่นๆอะไรอีกบ้าง แล้วก็เรียบร้อย หายไปอีกแล้ว
เรามีไลน์ไปตามเค้าก็บอกว่ากำลังคุยอยู่ จนเราเลิกตามแล้วก็ถอดใจกับธนาคารนี้เรียบร้อย มาที่ธนาคารสุดท้ายธนาคารสีชมพูสุดคิ้วท์ พนักงานแจ้งเราตั้งแต่แรกเลยว่าธนาคารของเค้าจะดำเนินการช้ากว่าที่อื่น แต่จะช่วยเหลือให้ได้มากที่สุด
เราตอบตกลงถึงแม้จะเป็นคนรออะไรไม่ค่อยเป็น แต่ก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรให้ต้องรีบร้อน เค้าขอเอกสารเราไปพร้อมๆ กับธนาคารสีม่วง แต่รู้ผลเมื่อประมาณกลางเดือนมกราว่าเราผ่านแล้วจ้า ในที่สุด ขอชื่นชมที่พนักงานที่ไม่มาๆ หายๆ พร้อมตอบคำถามเราเสมอ และช่วยเหลือเรามากที่สุดตามที่เค้าแจ้งจริงๆ
5. หลังจากได้รับผลว่าผ่านก็คือตรวจบ้าน โอนบ้าน และเตรียมตัวผ่อนวนไปจ้ะ
สิ่งสำคัญที่เราคิดก็คือความเชื่อมันในตัวเองและยอมรับในผลลัพธ์ไม่ว่ามันจะออกมาดีหรือไม่ดีก็ตาม ตอนแรกที่เรายื่นเราก็ไม่ได้คิดว่ามันจะต้องได้ แต่ก็อยากลองดูว่าถ้าเราไม่ได้ สิ่งที่เราต้องเตรียมตัวต่อทำไปคืออะไรบ้าง เราจะได้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับครั้งต่อไป
แต่ผลลัพธ์ที่เราได้ก็ทำให้เราดีใจอยู่เหมือนกัน ถือเป็นรางวัลให้กับความเหนื่อยที่ผ่านมา และแรงผลักดันในการทำงานต่อๆ ไป อนาคตบ้านที่ได้อาจจะเป็นร้านสักเล็กๆ ของเราเอง ถ้าใครชอบสักขอฝากตัวไว้ก่อนล่วงหน้าเลยน้า
ที่มา : สมาชิกหมายเลข 1974246 .