การจะเป็นเจ้าของบ้านสักหลังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่หากเรามีความเพียรพยายามและแนวทางการสร้างบ้านที่รัดกุมล่ะก็ ถึงแม้จะประสบกับปัญหาบ้าง บ้านสวยๆ ในฝันก็จะต้องเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน
เหมือนกับบ้านสวยที่คุณ ^^น้องฟ้า^^ ได้ออกแบบก่อสร้าง โดยทำการรื้อจากบ้านไม้เก่าๆ อายุกว่า 60 ปี และใช้บริการรับเหมาก่อสร้างจากบริษัท Royal House ได้มาเป็นบ้านสองชั้นแสนสวยที่ใครเห็นเป็นต้องอิจฉา ราวกับวิมานในฝันเลยทีเดียวก็ว่าได้ ลองมาชมกันดูครับ
Review: บ้านน้อยกลอยใจ — เหนื่อยแค่ไหนก็สู้โว้ย +++
(โดย ^^น้องฟ้า^^)
ก่อนหน้านี้เมื่อหลายปีก่อน ไม่เคยคิดเลยว่า การสร้างบ้านสักหลังจะเหนื่อยแทบขาดใจขนาดนี้ คิดแต่ว่าจะปลูกบ้านให้ย่าอยู่ เพราะบ้านหลังเดิมร่อแร่เต็มที่ นับอายุได้ก็เกือบ 60 ขวบกว่าๆ (แก่กว่าพ่อเราอีกนะ) แต่เผอิญว่าพ่อเรารีบไปหน่อยเลยโบกมือบ๊ายบายโลกนี้ไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ภาระหน้าที่การปลูกบ้านใหม่เลยตกอยู่ที่เรากับพี่สาว
จะเรียกว่าโชคดีได้มั้ยก็ไม่รู้ ที่พี่สาวเราทำงานอยู่ธนาคารที่พอจะมีสวัสดิการและรู้ระบบในการหมุนเงินพอสมควร การกู้เงินเราเลยยกให้เป็นหน้าที่ของนางไป และอีกความโชคดีหนึ่งก็อยู่ตรงที่พี่ชายสุดหล่อของป๊ะป๋า (เรียกลุงง่ายกว่าเป่า) ทำงานราชการและดูแลเรื่องการปลูกสร้างอยู่แล้ว เลยมีที่ปรึกษาชั้นเยี่ยม ลุงเลยแนะนำให้เราเลือกใช้บริการ “Royal House” (จะเสียค่าโฆษณามั้ยอ้ะ)
เหตุผลที่เลือกใช้บริการบริษัทรับสร้างบ้านแบบนี้ คุณลุงให้เหตุผลว่า อย่างน้อยจะได้ตัดปัญหาเรื่องผู้รับเหมาทิ้งงาน (ซึ่งคิดว่าหลายๆ ท่านคงได้ประสบพบเจอกันมาบ้างแล้ว) เพราะต้องมีการเซ็นสัญญากันอย่างชัดเจน ว่าจะทำอะไรให้กับเราบ้าง ส่วนที่อยู่นอกสัญญาทางบริษัทจะติดต่อให้ และใช้วิธีการจ้างผ่านบริษัท อาจจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าราคาตลาดอยู่บ้าง เพราะแน่นอนว่า บริษัทจะต้องมีกำไร ค่าบริหารจัดการ ค่าติดต่อประสานงาน บลา บลา บลา แต่อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่า มีการรับประกันอย่างถูกต้อง และบริษัทจะเป็นผู้รับผิดชอบทุกอย่างจากการทำงานของผู้รับเหมาเหล่านั้น (ซึ่งได้เห็นผลดีของการจ้างบริษัท เมื่อตอนบ้านใกล้เสร็จ — อดใจรอสักครู่ จะเล่าให้ฟังตอนท้าย)
ปฏิบัติการปลูกบ้านใหม่จึงเริ่มขึ้น… ระบบการทำงานของ Royal House ก็คือ การติดต่อผู้รับเหมาเจ้าอื่นๆ ที่ให้บริการด้านต่างๆ มาทำงานให้ลูกค้าแต่ละหลัง ส่วนใหญ่จะรวมอยู่ในสัญญาอยู่แล้ว แต่บางอย่างก็จะไม่รวม ซึ่งตรงนี้ต้องดูให้ดีๆ นะคะ ว่าตรงจุดไหนบ้างที่เราต้องจ่ายเพิ่มต่างหาก (ต้องเตรียมเงินสดไว้ต่างหากจำนวนหนึ่ง ซึ่งเราคาดเดาไว้ว่าประมาณ 5 แสนบาท)
บริษัทได้ติดต่อผู้รับเหมาที่จะมารับซื้อบ้านไม้หลังเก่าของเราทดแทนค่ารื้อถอน บอกตรงๆ ว่าเสียดายไม้มากๆ เพราะมีทั้งไม้สัก ไม้แดงดีๆ ชิ้นเป้งๆ แต่ไม่มีปัญญาจะเก็บไว้ต้องขายหมด (แหม ถ้ามีเงินซัก 10 ล้าน จะเก็บไว้ให้หมดเลยเชียว)
บ้านไม้หลังเดิมเริ่มมีการรื้อถอนในวันแรก
ถ่ายรูปไปน้ำตาตกในแบบเงียบๆ
เพราะอยู่มาตั้งแต่เกิด (แอบเสียดายไม้อยู่ลึกๆ งกเนอะ 555)
เมื่อรื้อถอนไม้เสร็จ
เหลือแต่โครงเสาแบบนี้
ถึงเวลาของรถแบ็คโฮคันใหญ่
เข้ามาขุดรากถอนโคน
จนเหลือแต่ดินโล่งๆ แบบนี้
หลังจากขั้นตอนของการออกแบบบ้านเสร็จสิ้นเรียบร้อยทั้งการยื่นแบบกับทางเขต และแก้แบบแล้ว ชนิดที่เรียกว่า แก้แล้วแก้อีก (ขั้นตอนนี้ลุงเราเป็นคนดูแลให้ทั้งหมด) จนในที่สุดก็ได้เวลาลงเสาเข็มและขึ้นเสาเอก ไม่มีการเชิญพระ (เพราะพระที่สนิทท่านเสียไปแล้ว) ไม่มีการเชิญพราหมณ์ (เพราะไม่รู้จะไปเชิญที่ไหน) เอาละฟระ ทำเองก็ได้ 555
เตรียมของเท่าที่หาได้ตามรายการจากอากู๋
ครบบ้าง ขาดบ้าง 555 เอาน่ะ ทำด้วยใจโนะ ><
ผูกๆ มัดๆ
โปรยๆ
เริ่มเทเสาเข็มทีละหลุม
วางคานพื้นบ้านชั้นแรก
จนขึ้นเป็นคานพื้นบ้านออกมาแบบนี้
พอถึงขั้นตอนนี้ จะต้องเริ่มตัดสินใจแล้วว่า จะถมใต้พื้นบ้านให้เต็ม หรือจะปล่อยโล่ง ซึ่งเท่าที่ปรึกษากับทางช่าง และหาข้อมูลจากอากู๋ประกอบ ก็ขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์และความต้องการ เราเลือกปล่อยโล่ง เพราะจะช่วยระบายอากาศใต้พื้นบ้าน และที่สำคัญ ไม่มีงบประมาณสำหรับถม (5555 อันนี้เรื่องใหญ่นะคะเรื่องเงินเนี่ย ต้องกะกันดีดี เพราะจะมีส่วนเกินที่จำเป็นจริงๆ ออกมาอีกเยอะมาก) และเพื่อไม่ให้มีตัวอะไรเข้าไปอาศัยอยู่ และป้องกันพื้นรอบข้างทรุด เราเลยตัดสินใจทำครีบกันดินปักรอบบ้าน แต่ไม่ได้ใช้แบบที่เป็นเข็มขนาดเล็ก เพราะบ้านเราอยู่ใจกลางเมือง ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ดินทรุด (ซึ่งอันนี้ต้องศึกษาและปรึกษาช่างให้ดีๆ นะคะ เพราะการจะเลือกทำครีบกันดินแบบไหนนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพดิน และสภาพภูมิประเทศของบ้านคุณด้วยค่ะ จะได้ไม่เป็นการเสียเงินโดยใช่เหตุแบบเกินจำเป็น)
เมื่อลงคานชั้นแรกเสร็จแล้ว
ก็เริ่มประกอบร่างเสาสำหรับขึ้นชั้นสอง
เสร็จแล้วค่ะ ทั้งเสาทั้งคานพร้อมเทพื้นสำหรับชั้นสองเรียบร้อย
ขั้นตอนนี้จะเริ่มมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเรื่องการฉีดปลวก ตรงนี้ทางบริษัทจะติดต่อให้ และให้เราเลือกแพคเกจว่าอยากได้การบริการแบบไหน อันนี้พี่เราเป็นคนจัดการ คือจะมีการฉีดซ้ำทุก 3 ปี ที่เห็นถังฟ้าๆ นั้นคือถังน้ำยาฉีดปลวกค่ะ เจ้าหน้าที่จะเรียกเราไปดูว่าได้เทน้ำยาลงในถังผสมแล้วจริง (อันนี้เพิ่งทราบทีหลังว่า หลายที่โดนหลอกเอาน้ำยาปลอมมาผสมให้ บริษัทเลยเรียกให้เราดูเพื่อยืนยันว่า เค้าใช้น้ำยาของจริง เปิดขวดกันตรงนั้นเลยค่ะ)
เมื่อเทพื้นชั้นสองเสร็จแล้ว
ก็เตรียมเสาสำหรับขึ้นโครงหลังคาต่อไปค่ะ
ตรงโครงหลังคาก็จะมีการให้เลือกค่ะว่า เราจะใช้กันฉนวนแบบไหน
บริษัทจะชอบเอานู่น นี่ นั่น มาเสนอว่า จะเพิ่มตังค์มั้ยฮัฟ ได้ของดีฝ่าน้า — เค้าจะขายของอะเนอะ 555 อันนี้ต้องระวังให้ดีนะคะ สำหรับเราทุนทรัพย์ค่อนข้างจำกัดมากๆ ขนาดเตรียมส่วนเกินไว้ 5 แสน ยังต้องกู้เพิ่มเลยค่ะ แต่ถ้าให้ไม่อั้น ก็จัดเต็มไปเลยไม่ว่ากันค่ะ
ระหว่างขึ้นโครงหลังคา
บนพื้นชั้นล่างก็เตรียมก่ออิฐแล้วค่ะ ของ Royal House จะใช้เป็นอิฐมวลเบา อันนี้เท่าที่เราหาข้อมูลอากู๋มา หลายๆ ท่านว่าอิฐมอญดีกว่า แต่ค่าใช้จ่ายเรื่องค่าแรงก็จะสูงกว่าตามไปด้วยค่ะ เราไม่ได้บอกเค้าแต่แรกว่าเราต้องการอิฐแบบไหน ซึ่งไหนสัญญาระบุไว้ว่า ใช้อิฐมวลเบา ก็โอเคค่ะ ไม่ว่ากัน (เงินไม่มีนี่เนาะ ฮืออออ)
พื้นบันได เทเสร็จแล้วค่ะ
ตรงนี้ต้องขอบคุณช่างเหมือนกันค่ะ ที่ช่างสังเกตว่าสมาชิกในบ้านค่อนข้างมีพื้นที่ไขมันหนาแน่น 555 ซึ่งห้องใต้บันได้อาจจะเล็กเกินไป ช่างเลยเสนอให้กลับขั้นบันได คือ เอาจำนวนขั้นเยอะไว้ด้านล่าง แล้วเอาจำนวนน้อยไว้ด้านบน ทำให้ห้องใต้บันไดสูงและกว้างขึ้น (ซึ่งตรงนี้จะมีค่าใช้จ่ายเปลี่ยนประตูเป็นบานใหญ่ขึ้น เพราะเกินจากที่สัญญาระบุ แต่บริษัทแถมให้ค่ะ 5555 ซื้อมาเปลี่ยนให้เลย) — ช่างที่ทางบริษัทหามาให้ ขอบอกตรงนี้เลยค่ะว่า ทั้งความรู้ความสามารถเต็มเปี่ยม รู้จักสังเกตและปรับให้เข้ากับรูปแบบการอยู่อาศัยของเจ้าของบ้าน เข้าทำนองปลูกอู่ตามใจผู้สร้างจริงๆ ค่ะ แต่เค้ามีปัญหาเรื่องส่วนตัวที่จะขอไว้เล่าให้ฟังภายหลังนะคะ
ระหว่างการก่ออิฐมวลเบา
ช่างของที่นี่จะใช้โครงเหล็กเป็นเอ็นยึดระหว่างเสาและตัวอิฐเพื่อให้บ้านมีความแข็งแรงมากขึ้น (ซึ่งตรงนี้การติดตั้งวัสดุแขวนผนังอื่นๆ จะต้องมีพิมพ์เขียวประกอบเพื่อให้ทราบว่ามีโครงเหล็กอยู่ตรงส่วนไหนของบ้านบ้างนะคะ ให้ระวังด้วย) ทราบมาจากช่างว่าอันนี้เป็นเทคนิคใหม่ ที่ต้องใช้ความประณีตพอสมควร และคุณลุงมาตรวจสอบดูก็โอเคค่ะ คงทนแข็งแรง
ขึ้นมาดูชั้นสองกันบ้างค่ะ
พอถึงขั้นตอนนี้ เราสังเกตเห็นว่าห้องน้อนชั้นล่าง และห้องนอนเล็กชั้นบนพอก่ออิฐขึ้นเสาแล้ว จะเหลือพื้นที่ใช้สอยน้อยมาก แบบมากจริงๆ อะค่ะ (อันนี้ต้องระวังตอนเขียนแบบบ้านให้ดีนะคะ ว่าเหลือพื้นที่ใช้สอยเท่าไร เพราะเสาแต่ละต้น จะกินพื้นที่เข้าไปอีกค่ะ) เราเลยตัดสินใจให้ช่างรื้อกำแพงด้านล่างบางส่วนออกแล้วทะลุห้องให้กว้างขึ้น ส่วนชั้นบนที่ยังไม่ก่อ ก็เปลี่ยนแปลนใหม่ ทำเป็นห้องพระเล็กแทน แล้วขยายห้องนอนเล็กสองห้องรวมกันเป็นห้องเดียว
กำแพงชั้น 1 เสร็จแล้วค่ะ
หลังคามุงเสร็จแล้ว
กำแพงชั้น 1 เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ชั้นสองเริ่มมีการก่ออิฐบางห้องตามแปลนที่ปรับปรุงไป
หลังจากขั้นตอนนี้ บริษัทจะเริ่มมีการบ้านมาให้เราทำค่ะ
เช่นการเลือกสีบ้าน การเลือกแบบห้องน้ำ วัสดุ กระเบื้องปูพื้น ซึ่งเราจะต้องไปเลือกเองตามร้านที่บริษัทมีดีลไว้ โดยมีข้อจำกัดอยู่ที่ราคาตามแพคเกจที่เราเลือก ทางร้านจะคำนวณให้ว่า แบบไหนที่อยู่ในขอบเขตราคาของสัญญา แต่ถ้าเราอยากได้แบบอื่นๆ ก็สามารถทำได้ค่ะ จ่ายส่วนต่างเพิ่มไป ซึ่งเราเลือกร้าน แกรนด์โฮมมาร์ท เพราะรอยัลเฮาส์ สาขาดุสิตมีดีลไว้อยู่ แล้วทางบริษัทก็บอกว่า ร้านนี้จะให้บริการดี ซึ่งก็โอเคค่ะ เมื่อเราเลือกลายกระเบื้องได้แล้ว ทางร้านก็จะออกแบบลายห้องน้ำมาให้เราเลือก ซึ่งเค้าจะถามความต้องการเราก่อนว่าอยากได้แนวๆ ไหน
แบบห้องน้ำชั้น 1 ค่ะ
แบบห้องน้ำชั้น 2
ของจริงได้ออกมาประมาณนี้ค่ะ
ยังไม่เสร็จดี
ของจริงชั้น 2 ค่ะ
เมื่อก่อกำแพงเสร็จแล้วก็เริ่มฉาบ
ตรงกระจกแก้วที่เห็น ทางบริษัทก็จะมีลายมาให้เลือกเช่นกันค่ะ
ฉาบภายในแล้ว ก็ต้องฉาบภายนอกด้วย
เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแว้วววว
ห้องเก็บของใต้บันได
ช่างสลับขั้นให้ เลยกว้าง แบบกว้างมว้ากกกก (บังคับให้คุณแม่บ้านเป็นนางแบบ ฮี่ฮี่)
เมื่อเลือกสีบ้านและรูปแบบการสีได้แล้ว
ทางบริษัทก็จะส่งแบบมาให้ดูอีกที เพื่อยืนยัน
บ้านก่อนทาสี
เริ่มลงสีแล้วจ้ะ
ช่วงก่อนหน้านี้ บริษัทจะถามเราก่อนว่า จะเปลี่ยนสเป็คหน้าต่างมั้ย
เนื่องจากแบบเดิมเป็นอลูมิเนียมอบขาวแบบเปิดปิดธรรมดา (หน้าต่างมุ้งลวดแบบสมัยก่อน) ซึ่งทางบริษัทแนะนำว่า ถ้าเปลี่ยนเป็น UPvc จะมีความแข็งแรงและสวยกว่าแบบอลูมิเนียม เพราะกระจกและขอบของกระจกจะหนากว่า ยากต่อการทุบแตกและงัดแงะ ซึ่งทางบริษัทได้ส่งตัวแทนมาสาธิตให้ดู เอาตัวอย่างมาให้ดูความหนาของหน้าต่าง ซึ่งก็หนาจริงค่ะ เพราะ UPVC คือพลาสติกผสมเหล็ก
ในตอนแรก บริษัทให้ดูราคาของ Gehouse ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับต้นๆ แต่พอเห็นราคาแล้วลมจะใส่ >..< ขออันที่ไม่มีแบรนด์แล้วถูกกว่านี้ได้มิคะ บริษัทเลยส่งมาให้ใหม่ เป็นแบรนด์ลูกของเกอฮาวอีกที แต่โรงงานเดียวกันค่ะ โอยยย ค่อยยังชั่ว ราคารวมมุ้งลวดทั้งหลังแล้วก็ประมาณ 7 หมื่นบาทค่ะ
เมื่อสีภายนอกเรียบร้อยก็ถึงคราวของสีภายใน
แต่ด้วยความที่ช่วงนั้นงานยุ่งมาก เลยไม่ได้เข้าไปดูเลย จนพี่แม่บ้านมาบอกว่า ได้เข้าไปดูสีที่เลือกรึยัง ก็เริ่มตะหงิดๆ เพราะเลือกโทนสีชมพูไว้ เดินเข้าไป ลมจะใส่ ออกมาเป็นแบบนี้ค่ะ
เราเลือกสีโทนชมพูไว้สองสี คือสีเข้มและสีอ่อน
แต่แบบที่เราส่งให้ช่าง ใส่รหัสสีผิดไป 1 ชั้น สลับกับรหัสสีอ่อน แล้วช่างไปเข้าใจว่า สั่งสีเข้มทั้งบ้าน งานเข้าสิคะ สีชมพูวัดชัดๆ อยากจะร้องไห้ สั่งเปลี่ยนทั้งหลังทันทีค่ะ วีนบ้านแตก ช่างยอมเปลี่ยนให้แบบมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม เราไม่ยอมเพราะเราใส่รหัสสีผิดแค่ชั้น 1 แต่ชั้น 2 ใส่ถูก เลยบอกว่าขอจ่ายแค่ครึ่งเดียว ช่างก็โอเค ทั้งหมด 8000 บาท (แต่สุดท้ายก็จ่ายให้ทั้งหมด แอบสงสาร
แก้เป็นสีอ่อนแล้ว
ได้แบบนี้ค่ะ (ค่อยยังชั่ว ฮือออออ)
ระหว่างทาสีภายใน
เสาคู่หน้าบ้านก็เสร็จแล้วค่ะ
สีภายนอกด้านข้างค่ะ
สีชมพูอ่อนที่ทาใหม่ กับกระเบื้องปูพื้นห้องรับแขก
เราเลือกเป็นแบบไม่ลื่นค่ะ เพราะกลัวคุณย่าหกล้ม แต่ที่ฮากว่านั้นคือ เพิ่งไปเห็นว่า เป็นกระเบื้องแบบเดียวกันที่ใช้ในห้องน้ำบ้านใหม่ของน้องสาว เค้าเอาไว้กันลื่นจริงๆ ค่ะ 55555555
ราวบันไดพร้อมลามิเนทปูพื้น
หลังปูพื้นลามิเนทเสร็จบริษัทจะเอาพาพลาสติกมาปูแบบนี้
พร้อมแรพเทปกาวปิด เพื่อป้องกันความเสียหายจากการเก็บสีรอบสุดท้ายค่ะ
เริ่มขึ้นเสาสำหรับรั้วข้างบ้าน
เอาสั่งจ้างเพิ่มเพราะของเก่าพังหมดแล้วค่ะ รวมเฉพาะค่ารั้วฉาบตื้นทาสีเฉพาะด้านหน้า รั้วด้านข้างรวม 18 เมตร 99000 บาท มาถึงตรงนี้เมื่อรวมค่าใช้จ่ายส่วนต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นมา 5 แสนบาทไม่พอแล้วค่ะ ไม่ว่าจะเป็นค่าหน้าต่าง UPVC ค่าทำครีบกันดิน ค่ารั้ว ค่ารางน้ำ ค่าเหล็กดัด ค่ากันสาดหลังบ้าน สรุปว่าต้องกู้เพิ่มอีกสองแสน (ซึ่งก็ยังไม่พอและส่อแววว่าจะต้องกู้เพิ่มอีกแต่แค่หลักหมื่นค่ะ)
รั้วที่เซาะร่องเสร็จแล้วขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง
กันสาดที่สั่งทำเพิ่มค่ะ
เป็นเจ้าเดียวกับที่ทำเหล็กดัด แต่ว่าเราไม่ได้จ้างผ่าน Royal House เนื่องจากเจ้านี้เป็นเพื่อนกับคุณลุง และทำกันสาดกับเหล็กดัดให้ที่บ้านเรามานาน เลยไว้ใจกัน ให้เค้าทำทั้งหลังเลยค่ะ
เมื่อรั้วใกล้เสร็จ ปัญหาใหญ่เริ่มมาแล้วค่ะ
ก่อนหน้านี้ก็มีรายการเพิ่มเติมอื่นๆ ที่เจ้าของบ้านจะต้องจัดการหาซื้อเองไม่ว่าจะเป็นปั๊มน้ำ ก๊อกน้ำที่เพิ่ม หรือโคมไฟหน้าบ้าน ออดหน้าบ้าน ซึ่งทางบริษัทก็จะหาช่างมาให้ แล้วคิดราคาช่างไป ระหว่างที่นั่งทำงานอยู่ เราก็ได้รับโทรศัพท์จากทางบ้าน ว่าปั๊มน้ำรุ่นล่าสุดที่เพิ่งติดตั้งไปเมื่อวาน “โดนขโมย” !!!
ช็อคสิคะ ปั๊มราคาหมื่นกว่าบาท เพราะเป็นสแตนเลสและมีระบบเลเซอร์วัดระดับน้ำ น้ำตาแตกเลยค่ะ เงินหลักหมื่นสำหรับพนักงานออฟฟิศอย่างเรา ถือว่าเยอะมากนะคะ เครียดจนพูดไม่ออกกันเลยทีเดียว เกิดอะไรขึ้นกันล่ะนี่
ที่สุดจะแค้นใจมากกว่านั้นก็คือ เราได้ยินเสียงขโมยค่ะ
ปกติเราจะนอนอยู่บ้านหลังติดกันกับบ้านที่สร้าง เพราะที่บ้านจะอยู่ในบริเวณเดียวกันหมด 3 หลัง ลุงเราย้ายออกไปซื้อบ้านใหม่ เราเลยย้ายมาอยู่ที่บ้านลุงแทน ซึ่งห้องนอนเราจะติดกับปั๊มมากที่สุด เราได้ยินเสียงเหมือนแทงค์น้ำที่วางอยู่ข้างปั๊มมีอะไรมาชน (ซึ่งโดยปกติแล้วจะชอบมีแมวกระโดดไปมาอยู่แล้ว) ใช่ค่ะ เราเข้าใจว่าเป็นแมวกระโดดลงมาบนแทงค์น้ำ สักพักเราก็ได้ยินเสียงดังมาก เหมือนอะไรหล่นใส่กันสาด ดังกรอบแกรบ เอาอีกแล้วค่ะ เราเข้าใจว่าเป็นงู มากินหนู (ซึ่งปกติมักจะมีเสียงประหลาดๆ แบบนี้เกิดขึ้นรอบบ้านเราอยู่เสมอๆ) เรานอนต่อค่ะ โอ๊ยยยย อยากจะกรีดร้อง แค้นมาก !!!!
ปั๊มน้ำช้านนนนนนน
อันตรธานไปแล้ววววว >..<
เสียงดังกรอบแกรบที่ได้ยินคือเสียงงัดประตูหลังบ้านค่ะ
ซึ่งเป็นประตูบานเดียวของบ้านที่ไม่ติด UPVC เป็นประตูไม้ลงกลอนธรรมดา (จุดอ่อนที่สุดของบ้านเลย) ช่างทำเหล็กดัดบอกว่า ประตูนี้ประตูเดียวที่งัดได้ และที่สำคัญ กุญแจที่ใช้กับ UPVC ปั๊มไม่ได้นะฮ้าฟฟฟฟ ต้องใช้ของที่บริษัทให้มาเท่านั้นจ้ะ (ให้มา 3 ดอกค่ะ)
กลอนบนที่โดนงัด
กลอนล่างๆ แงะๆ เสร็จ
แหกออกมาแบบนี้จ้ะ !!!
ตำรวจสันนิษฐานว่า เริ่มงัดจากกลอนลูกบิดก่อน เพราะง่ายที่สุด
แล้วค่อยใช้ไม้งัดให้กลอนข้างบนหลุดออกมา คนงานคาดว่า จะเข้ามาเอาแผงไฟในบ้าน เพราะขายได้ราคาดี แต่โดนไฟดูดซะก่อน
ตำรวจบอกว่า บ้านที่กำลังสร้างเสร็จใหม่ๆ แกงค์พวกนี้จะคอยมองว่ามีอะไรมาติดตั้งแล้วบ้าง เพื่อจะหาช่องทางขโมยของใหม่ๆ ซึ่งเราพลาดตรงที่แคมป์คนงานอยู่ห่างออกไปประมาณ 3 หลัง และหัวหน้าช่างก็ไม่ได้มาเปิดไฟให้ (กุญแจอยู่กับเค้าตลอด)
ภายหลังตำรวจกลับไปแล้ว ทางบริษัทเลยสั่งให้คนงานมานอนเฝ้าบ้านและเปิดไฟทุกคืน เพราะประตูรั้วยังไม่เสร็จ และกลัวขโมยจะย้อนกลับมาอีก ปรากฏว่า คนงานที่มานอนคืนนั้นบอกว่า มีมอเตอร์ไซค์ขับวนมาดูอีก โอยยย อยากจะกรีดร้องอีกรอบ จะมาเอาอะไรกับบ้านช้านนนนนนน
ปัญหาไม่ได้จบอยู่แค่นั้นค่ะ อยู่ดีดีคนงานก็หยุดงานไปโดยไม่ทราบสาเหตุ บ้านก็ไม่มานอนเฝ้า ให้เหมือนเดิม ด้วยความเอะใจ เพราะได้ยินเสียงเหมือนว่าบริษัทจะมีปัญหากับคนงาน เราเลยตัดสินใจโทรแจ้งวิศวกรที่คุมงานตอน 2 ทุ่มกว่าๆ ซึ่งคืนนั้น น้องที่ดูแลบ้านเราอยู่ ก็เข้ามาเปิดไฟให้พร้อมกับพนักงานของบริษัทอีกคนหนึ่ง ตอนแรกเราจะไปตามคนงานมาเอง แต่น้องห้ามไว้ เกรงว่าจะมีอันตราย (เอ๊ะยังไง) เราเลยเริ่มสงสัยเพราะก่อนหน้านี้ คนงานได้มายืมเงินที่บ้านเราไป สองพันบาท บอกว่า บริษัทไม่จ่ายเงิน เราเลยถามน้องว่า มีปัญหาเรื่องเงินอะไรเกิดขึ้น และได้มารู้ทีหลังว่า หัวหน้าคนงานไม่จ่ายเงินให้กับคนงาน ทั้งที่บริษัทก็จ่ายให้ครบ แล้วตัวเราก็จ่ายให้บริษัทครบตามสัญญา
จนวันหนึ่งเราลางานมาดูช่างที่ติดมุ้งลวด และได้เจอกับหัวหน้าศูนย์ของ Royal House เขตดุสิต (จำตำแหน่งไม่ได้ขออภัยด้วยค่ะ) เข้ามาพร้อมน้องวิศวกรที่คุมงาน เลยได้รู้เรื่องว่า จริงๆ แล้ว หัวหน้าคนงานติดพนันบอล เลยไม่มีเงินไปจ่ายลูกน้องแต่ยังไม่กล้าทิ้งงาน เลยยังคาราคาซัง โอ้ววววววว นอกจากมีขโมยแล้ว ยังเจอปัญหาคนงานอีก ฮืออออออ
ระหว่างเดินสำรวจบ้านกันอยู่นั้น อยู่ดีๆ น้องวิศวกรก็ทักขึ้นมาว่า อุปกรณ์ในห้องน้ำหายไป ทั้งที่เมือคืนที่มาเปิดไฟให้ยังมีอยู่เลย เฮ้ย นี่มันอะไรก๊านนนนนนนนนนนนนนน
ก๊อกน้ำช้านนนน หายปายหนายยยยยย
สายยาง ฝักบัว หายโม้ดดดดดดดดดดดดดดด
ข้างบนข้างล่าง หายเกลี้ยงงงงงงงงงงงงงงงง
เราปริ่มๆ จะร้องไห้อยู่ตรงนั้น
เริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยของตัวเอง และมั่นใจว่าต้องใช่คนงานแน่ๆ เพราะประตูหลังบ้านที่โดนงัดก็เอาไม้บันไดกั้นไว้ (ซึ่งไม้ยังอยู่ในสภาพเดิม ไม่มีทางที่คนจะออกไปได้โดยเอาไม้พาดกลับคืน) แล้วคนเดียวที่มีกุญแจเข้าออกบ้านได้ คือหัวหน้าคนงานเท่านั้น
มาถึงตรงนี้ บอกได้คำเดียวว่า เราซึ้งน้ำใจ Royal House เขตดุสิตมากค่ะ
เรารู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตัวเองขั้นรุนแรง อยากจะขอกุญแจมาเก็บไว้เอง แล้วเริ่มกังวลว่า เค้าจะเอากุญแจไปปั๊มมั้ย ซึ่งทางหัวหน้ายืนยันว่า ปั๊มไม่ได้แน่นอน แต่เพื่อความสบายใจ เค้ายินดีเปลี่ยนกุญแจให้ทั้งชุด และชดใช้ของที่เสียหายคืนให้เราทั้งหมด ซื้อปั๊มน้ำใหม่และของที่โดนขโมยมาคืนให้ เปลี่ยนประตูให้ใหม่ และยินดีที่จะเปลี่ยนกุญแจประตูรั้วหน้าบ้านให้ โดยให้เราเอาบิลไปเก็บค่าใช้จ่ายที่บริษัท
ถามว่าดีใจมั้ย ที่จะมีคนชดใช้ค่าเสียหายให้ คงตอบว่ายังไงก็ดีใจอยู่แล้ว แต่ที่รู้สึกมากไปกว่านั้น คือน้ำใจที่ทางบริษัทมีให้ ไม่ว่าจะเป็นความเอาใจใส่ในความรู้สึกของลูกค้า หรืออะไรก็ตามแต่ เพราะบอกตรงๆ ว่า ความรู้สึกของเราตอนนั้น ไม่ได้คิดถึงมูลค่าความเสียหายของของที่โดนขโมยเลย เรากลัวความไม่ปลอดภัยของเรามากกว่า ว่าต่อไปนี้เราจะอยู่ยังไง ท่ามกลางคนงานที่คาดว่า จะเป็นขโมย แถมยังมีปัญหากับบริษัทแบบนี้อีก — Royal House แก้ปัญหาให้เราอีกแล้วค่ะ
วันรุ่งขึ้น คนงานขนของทุกอย่างขึ้นรถบรรทุกไปทั้งหมด และคนงานก็ย้ายตามไปในวันต่อไป พร้อมนำเงินที่ยืมไปมาคืนให้ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และสร้างความอุ่นใจให้เราได้จริงๆ ค่ะ ที่เรามั่นใจว่าเป็นฝีมือของคนงานนั้น เพราะเราอยู่บ้านหลังนี้มาตลอดชีวิต ตั้งแต่เกิด ในระแวกบ้าน ซอยบ้าน ไม่เคยเจอเหตุการณ์ทำนองนี้กันมาก่อนเลยจริงๆ
วันนี้ เป็นวันที่ช่างเข้ามาทำความสะอาดบ้านเนื่องจากเก็บสีและรายละเอียดอื่นๆ เสร็จสิ้นเกือบหมดแล้ว และคาดว่าจะส่งมอบบ้านได้ภายในวันจันทร์หน้าแล้วค่ะ
บ้านน้อยกลอยใจ
>..< เพิ่งถ่ายสดๆ มามะเช้าเอง
อีกซักมุม
จะว่าเค้าขี้อวดก็ยอมล่ะ ฮือออออ
ห้องรับแขกช่วงต่อกับห้องครัว
ภาพมุมบน
มุมนี้เป็นมุมที่เราชอบที่สุด โล่ง โปร่งมากๆ ค่ะ น่ารักอ้ะ สีชมพูด้วย อิอิ
นอกบ้านด้านข้างอีกซักรอบ
ห้องนี้ห้องนอนเราเองค่ะ
เพิ่งทำความเสร็จเมื่อกี้นี้เอง น้องโฟร์แมนส่งมาให้ดู
ห้องนอนพี่สาวเราค่ะ
โถงชั้นสองค่ะ
วันนี้นอกจากตั้งใจจะมาเขียนรีวิวแบ่งปันประสบการณ์เรื่องการสร้างบ้านบนพื้นที่เดิมแล้ว เราอยากจะขอบคุณ Royal House สาขาดุสิตค่ะ
ขอบคุณ ที่พวกคุณเอาใจใส่ความรู้สึก ความไม่มั่นคง ความไม่ปลอดภัยของลูกค้า
ขอบคุณที่พวกคุณร่วมมือกับเราในการปัญหาต่างๆ ให้มันผ่านลุล่วงไปได้ แม้จะมีบางทีที่เราอาจจะเผลอหลุดวีนเหวี่ยงไปบ้าง เวลาที่งานไม่เป็นไปตามแผน หรือตามที่สั่งไว้ แต่เราเข้าใจค่ะ ว่าบางครั้งการทำงาน มันก็ต้องการหลุดบ้างเป็นบางครั้ง ซึ่งการตอบแทนที่ Royal House ทำให้ มันทำให้เราให้อภัยเรื่องเล็กๆ เหล่านี้ไปได้จริงๆ
ขอบคุณน้องบิ๊ก โฟร์แมนตัวแสบ ที่มีบางครั้งหลงๆ ลืมๆ ไปบ้าง แต่ก็ขยันขันแข็งทำงานตามสั่งลูกพี่ และดูแลการปลูกสร้างบ้านของเราให้สำเร็จลุล่วงไปได้อย่างดี
ขอบคุณน้องแนน เซลล์สาวผู้น่ารัก ที่คอยรับโทรศัพท์เราตอนดึกๆ เวลาตามตัวเจ้าบิ๊กไม่ได้
ขอบคุณน้องนนท์ลูกพี่ใหญ่ที่คอยควบคุมงานตามคำขอของลูกค้าสุดเรื่องมากอย่างเราได้อย่างรวดเร็วฉับไว (ตอนหลังถึงขั้นตั้งไลน์กรุ๊ปเพื่อตามงานกัน — บอกตรงๆ ว่าบางทีก็ไม่กล้าโทรตามงานนอกเวลา Office Hour แต่มานึกขึ้นได้หลังเลิกงานทุกทีน่ะสิ T_T เก๊าขอโต้ดนะ)
ขอจบการรีวิวบ้านน้อยของเราไว้เท่านี้ก่อนนะคะ ถ้ามีอะไรเพิ่มเติม จะมาอัพเดทให้ดูค่ะ ^^
ที่มา : ^^น้องฟ้า^^