รองเท้าผ้าใบสีขาว เป็นที่ทราบกันดีว่าเปื้อนได้ง่าย อีกทั้งถ้าเกิดเปียกชื้นขึ้นมา ก็อาจจะทำให้เกิดเป็นคราบเชื้อรา การทำความสะอาดก็ยาก เพราะเมื่อนำไปซักแล้ว มักจะมีคราบเหลืองหมองคล้ำหลงเหลืออยู่ จึงทำให้หลายๆ คน เลือกที่จะใช้รองเท้าสีอื่นแทน
แต่ถ้าเรามีวิธีดีๆ ที่จะทำให้รองเท้าผ้าใบสีขาวคู่เก่งของเรา กลับมาสดใสเหมือนใหม่ได้อีกครั้ง เราก็ไม่จำเป็นต้องใช้รองเท้าสีอื่นแล้ว วันนี้ ในบ้าน ก็จะพาชาวเว็บมาดู 12 วิธีซักรองเท้าผ้าใบขาว เปลี่ยนรองเท้าสีขาวหมองๆ โทรมๆ ให้ขาวใสราวกับซื้อใหม่ ใครที่มีรองเท้าสีขาวที่ยังไม่ได้ทำความสะอาด ตามมาชมกันเลยครับ ง่ายนิดเดียวครับ
1. ซักรองเท้าผ้าใบแบบยางด้วยน้ำสบู่
นำรองเท้าผ้าใบมาปัดฝุ่นและสิ่งสกปรก ถอดเชือกร้อยรองเท้าออก แล้วนำไปแช่ในน้ำอุ่นสักพัก หยิบรองเท้าขึ้นมาขัดด้วยแปรงขนนุ่มชุบน้ำสบู่ (หากเป็นรองเท้าผ้าใบยางให้ใช้น้ำสบู่เข้มข้น) จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่นอีกครั้ง ก่อนนำไปตากแดดก็นำกระดาษทิชชูม้วนเป็นก้อนกลม ๆ ใส่ในรองเท้า จะช่วยให้รองเท้าแห้งเร็วขึ้น
2. ใช้แว็กซ์ขัดรองเท้าผ้าใบหนัง
หากเป็นรองเท้าผ้าใบแบบหนังก็ต้องสูตรนี้เลย นำผ้าขนหนูชุบแว็กซ์ขัดรองเท้าที่มีสีตรงหรือใกล้เคียงกับผ้าใบ แล้วนำมาขัดบนหนังให้ทั่ว ด้วยการเช็ดวนเป็นวงกลมจนกว่ารองเท้าจะสะอาด และทิ้งไว้ให้แห้งตามปกติ สุดท้ายใช้ผ้าขนหนูขัดรองเท้าให้เบา ๆ เพื่อเพิ่มความเงางามให้ดูเหมือนใหม่
3. ขัดรองเท้าผ้าใบด้วยสครับสบู่
ซักรองเท้าผ้าใบสีขาวไม่ให้มีคราบเหลืองได้ง่าย ๆ แค่ผสมสบู่เนื้อสครับกับน้ำเปล่า ถอดเชือกรองเท้าออกเพื่อนำไปซัก โดยใช้แปรงสีฟันขนนุ่มที่ไม่ใช้แล้วมาชุบน้ำสบู่ที่ผสมไว้ จากนั้นนำไปขัดรองเท้าให้ทั่ว โดยเฉพาะจุดที่มีคราบสกปรก ล้างออกด้วยน้ำสะอาดทั้งด้านในและด้านนอก นำกระดาษทิชชูมายัดในรองเท้าเพื่อดูดน้ำส่วนเกินออก ผึ่งลมให้แห้ง จัดการร้อยเชือกรองเท้า แล้วใช้แว็กซ์ขัดรองเท้าขัดซ้ำอีกครั้ง
4. น้ำยาเคลือบเล็บลบรอยขีดข่วน
ก่อนอื่นลบคราบดำ ๆ บนรองเท้าออกให้หมดด้วยยางลบ หรือใช้แปรงขัดรองเท้าขัดส่วนที่เป็นหนังกลับ แล้วทาน้ำยาเคลือบเล็บลงบนคราบหรือรอยขีดข่วน ใช้ฟองน้ำหรือผ้าขนหนูเช็ดส่วนเกินออก ทิ้งไว้ให้แห้ง 1 คืน แล้วฉีดพ่นน้ำสเปรย์เคลือบรองเท้าหนังทับอีกครั้ง
5. วิธีซักรองเท้าผ้าใบในเครื่องซักผ้า
ใครที่มีรองเท้าผ้าใบแบบผ้าธรรมดา ๆ ก็สบายใจได้เลย ไม่ต้องมานั่งขัดให้ยุ่งยาก เพียงแค่ปลดเชือกรองเท้าแยกออกมาซักต่างหากไว้ แล้วนำรองเท้าไปใส่ในเครื่องซักผ้าได้เลย เปิดระบบน้ำอุ่น แล้วใส่ผงซักฟอก ทำการซักตามปกติ แต่ห้ามเปิดระบบปั่นแห้งโดยเด็ดขาด เมื่อสะอาดได้ดั่งใจก็นำไปตากแดดต่อได้เลย
6. สูตรเบกกิ้งโซดาเคลือบรองเท้า
เรียกได้ว่าเป็นสูตรที่ทรงพลังมาก เพราะมีส่วนผสมหลายอย่างเลย ประกอบด้วยเบกกิ้งโซดา ½ ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า ½ ช้อนโต๊ะ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ½ ช้อนโต๊ะ ผสมทั้งหมดให้เข้ากัน ใช้แปรงขนนุ่มชุบแล้วนำไปขัดรองเท้าผ้าใบอย่างเบามือ เกลี่ยส่วนผสมให้ทั่วรองเท้า วางทิ้งไว้ 3-4 ชั่วโมง จนกว่าส่วนผสมจะแห้ง หลังจากนั้นก็ปัดส่วนผสมที่แห้งออก ก็จะพบว่ารองเท้าดูขาวขึ้นทันตาเลย
7. สูตรยาสีฟันขัดรองเท้าผ้าใบแบบหนัง
ด้วยคุณสมบัติที่ทำให้ฟันขาวสะอาด ยาสีฟันจึงสามารถนำมาประยุกต์ใช้ซักรองเท้าผ้าใบได้เหมือนกัน เพียงป้ายยาสีฟันลงบนแปรงสีฟันขนนุ่ม แล้วนำไปขัดรองเท้าผ้าใบเบา ๆ โดยเฉพาะจุดที่มีคราบให้เกลี้ยง แล้วใช้ผ้าขนหนูเช็ดออก
8. สูตรน้ำมะนาวขจัดคราบสกปรก
วัตถุดิบอาหารอย่างมะนาวและครีมออฟทาร์ทาร์ ก็สามารถทำความสะอาดรองเท้าได้ดีไม่แพ้ของใช้ชนิดอื่น เพียงแค่ผสมน้ำมะนาว 1 ส่วน กับครีมออฟทาร์ทาร์อีก 1 ส่วน ใช้ผ้าชุบแล้วเช็ดลงบนคราบสกปรก ทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง แล้วค่อยเช็ดคราบส่วนผสมออกจากรองเท้าผ้าใบให้สะอาดอีกครั้ง
9. สูตรแชมพูล้างคราบน้ำมัน
แม้คราบน้ำมันจะกำจัดออกยาก แต่ก็สามารถซักออกได้ โดยผสมน้ำอุ่นกับแชมพูสระผมให้เป็นเนื้อเดียวกัน ใช้ผ้าขนหนูชุบแล้วนำไปเช็ดคราบสกปรก แล้วใช้แปรงขัดต่ออีกเล็กน้อย รอยน้ำมันบนรองเท้าผ้าใบก็จะหายไป
10. สูตรเจือจางสารฟอกขาว
สำหรับคราบสกปรกที่ซักไม่ออกจริง ๆ ลองนำสูตรนี้ไปใช้ดู เริ่มจากผสมสารฟอกขาว 1 ส่วน กับน้ำเปล่าอีก 5 ส่วน เพื่อให้สารฟอกขาวเจือจาง ใช้ผ้าขนหนูชุบแล้วนำไปซักรองเท้าผ้าใบ จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งก็เป็นอันเสร็จ
11. ซักเชือกรองเท้าในน้ำอุ่น
อย่าคิดที่จะซักเชือกรองเท้าในเครื่องซักผ้าเด็ดขาด เพราะอาจจะยืดและเสียทรงได้ง่าย ๆ ให้นำมาซักด้วยน้ำอุ่นที่ผสมผงซักฟอก ค่อย ๆ ขยี้ให้คราบสกปรกหลุดออก ซักด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง แล้วนำไปตากลมให้แห้งก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
12. ผึ่งลมให้แห้งเท่านั้น และห้ามตากแดดเด็ดขาด
วิธีซักรองเท้าผ้าใบไม่ให้เหลืองนั้นง่ายมาก เพราะซักรองเท้าไปตามวิธีที่แนะนำมา แต่หลังจากซักเสร็จแล้ว ผึ่งลมไว้แล้วรอจนกว่าจะแห้งดีกว่านำไปตากแดดแรง ๆ เพราะคราบเหลืองบนรองเท้าผ้าใบ ส่วนหนึ่งก็เกิดจากแสงแดดนั่นแหละ
ที่มา : Kapook